ขนทัพ 19 หุ้นน่าลงทุน! รับ “พลังงานลด-จีนเปิดประเทศ” ชูท็อปพิก BGRIM-EKH
บล.กสิกรไทย คัดหุ้นน่าลงทุนระยะสั้น คาดว่าจะได้รับอานิสงส์ หลังจากราคาพลังงานปรับตัวลง พร้อมเงินบาทแข็งค่า รวมทั้งจีนเปิดประเทศ ชูท็อปพิก BGRIM-EKH
บริษัท หลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า มีมุมมองระยะสั้นคือคาดสัปดาห์นี้ตลาดจะแกว่งในกรอบ 1,666 จุด และมีมุมมองระยะกลาง โดยประเมินตลาดหุ้นไทยปี 2566 ว่าจะมีปัจจัยบวกหนุน ได้แก่ (1) คาดหวังเฟดจะส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในครึ่งแรกของปี 2566 (2) จีนเริ่มผ่อนคลายนโยบายโควิดเป็นศูนย์เร็วกว่าคาด (3) Election Rally หนุน entiment การบริโภค (4) คาดราคาพลังงาน และอาหารลดลง (5) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น KBANK ประเมินสิ้นปี 2566 อยู่ที่ 33.5-34 บาท
ขณะที่ปัจจัยลบที่ยังต้องติดตาม คือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ดังนั้นมุมมองของบล.กสิกรไทย คือ (1) โอกาสที่ไทยจะเกิดภาวะถดถอย Recession ในปีนี้มีน้อยราว 15% เมื่อเทียบกับยุโรปที่ความเสี่ยงสูงกว่า 80-90% และสหรัฐฯประมาณ 62.5% ทําให้ปีนี้มองว่าตลาดหุ้นไทยจะ outpeform ตลาดหุ้นโลก (2) การที่โลกเข้าสู่ Recession จะส่งผลลบกับหุ้น Global play เช่น โภคภัณฑ์, Logistics, Electronics, Petrochemical เป็นต้น รวมถึงกลุ่ม Cyclical เช่น ธนาคาร ประกัน และอสังหาฯ เป็นต้น แนะนําหลีกเลี่ยง
(3) คาด sector ที่จะ outpeform ในช่วงขาลง คือกลุ่ม Defensiveเช่น โรงไฟฟ้า, กลุ่ม Property Fund & Infrafund และ REITs รวมถึงสินค้าจําเป็น เช่น โรงพยาบาล, อาหาร และยารักษาโรค เป็นต้น (4) กรณีถ้าโลกเข้าสู่ Recession KS มองว่าจะเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนโดยเฉพาะตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งถ้าดูจากข้อมูลสถิติของ Forbs จะพบว่าระยะเวลาในการเกิด Recession ไม่เกิน 1 ปี และปกติผลตอบแทนหลัง Recession 6 เดือน – 2 ปีตลาดหุ้นโลกจะให้ผลตอบแทนเป็นบวก ดังนี้อาจมี Capital outflow กลับไปยังตลาดหุ้นต่างประเทศ คาดว่าเกิดในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 (5.)หากเกิด Recession แนะนําให้หาจังหวะทยอยสะสมหุ้น Global plays และกลุ่ม Cyclical เพราะจะปรับตัวขึ้นแรงหลัง เศรษฐกิจฟื้นตัวจาก Recession
อย่างไรก็ตาม บล. กสิกรไทย แนะนำธีมลงทุน 1.) กลุ่ม Anticommodity ระยะสั้นแนะนําตามทิศทางราคาพลังงานที่ยังปรับลงอาทิ กลุ่มเครื่องดื่ม, กลุ่ม Retail Oil อาทิ PTG, OR ได้ประโยชน์จากราคานํ้ามันที่ลงแรงต่อ และมีปัจจัยหนุนนจาก หลังมาตรการช้อปดีมีคืนรอบนี้ ระหว่าง 1 ม.ค. – 15 ก.พ. กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ได้ประโยชน์จากราคาก๊าซปรับลงแรง และเป็นตัวแทน Defensive อาทิ BGRIM, GPSC
ขณะที่ยังแนะนํา “ถือ” ต่อจากที่เคยแนะนําก่อนหน้าและหากราคาย่อตัวลงมาแนะนําทยอยสะสม (2) หุ้นปันผลสูงจะ perform ในช่วงไตรมาส 1/2566 อาทิ AP, LH, ORI, RATCH, EGCO, KKP, BBL (3) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการที่จีนประกาศเริ่มเปิดประเทศตั้งแต่ 8 ม.ค. 2565 เร็วกว่าที่ตลาดคาดจะเปิดช่วงไตรมาส 2/2566 กลุ่มที่ราคายังมี Upside อาทิ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม อาทิ AMATA, WHA กลุ่มขายของฝาก อาทิ SNNP, DDD กลุ่มโรงพยาบาล อาทิ EKH, BDMS, BCH กลุ่มร้านขายยาอย่าง MEGA
ส่วนกลุ่มที่แนะนําชะลอการลงทุน คือ (1) กลุ่มส่งออก เนื่องจากเช้านี้เงินบาทแข็งค่าเช้านี้แข็งค่าแรงตํ่า 34 บาท (2) กลุ่ม Global play นํ้ามัน และโรงกลั่น ฯลฯ ตามนํ้ามันดิบยังลงแรงต่อประเมินตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดกรอบ 1,666-1,680 จุด
นอกจากนี้ยังชูหุ้น Top pick อย่าง BGRIM ให้ราคาพื้นฐาน 63.5 บาท โดยแนะนําเนื่องจาก (1) เป็นหุ้นโรงไฟฟ้าที่เป็นตัวแทนหุ้น Defensive ในช่วงที่ตลาดพักฐาน และปีนี้ตลาดกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอย Recesion (2) ประเด็นค่า Ft งวดม.ค.- เม.ย. กกพ. เคาะแล้วที่ 5.33 บาทต่อหน่วย สูงกว่าสมมติฐานที่ทางบล.กสิกรไทยคาดที่ 5.2 บาทต่อหน่วย มี Upside และปลดล็อก Overhang ราคาหุ้น (3) ปัจจัยหนุนจาก Gas pool price ที่แนวโน้มปรับลง และเงินบาทแนวโน้มแข็งค่าแรงตํ่า 34.0 บาท
รวมถึง EKH ให้ราคาพื้นฐาน 9.6 บาท โดยคาดว่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากการเปิดประเทศจีน ซึ่งไม่กังวลเกี่ยวกับกําไรปกติที่คาดอ่อนแอในงวดไตรมาส 4/2565 คาดกําไรสุทธิของคูนพลิกกลับเป็นบวกตั้งแต่งวดไตรมาส 1/2566 เป็นต้นไปและคาดว่าโมเมนตัมรายได้จะดีขึ้นในปี 2566 จากรพ. คูน จํานวนผู้ป่วย IVF จากจีนที่ฟื้นตัวขึ้น โดย EKH เห็นจํานวนผู้ป่วยจากจีนที่บินเข้ามามากขึ้นตั้งแต่เดือนพ.ย.2565 และมีการติดต่อจากตัวแทนจากจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญหลังจีนประกาศเปิดประเทศ