ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง PQS ขายไอพีโอ 170 ล้านหุ้น ลงสนาม SET ปีนี้
ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง “พรีเมียร์ควอลิตี้สตาร์ช” หรือ PQS ขายไอพีโอ 170 ล้านหุ้น เดินหน้าขยายธุรกิจมันสำปะหลัง-ไฟฟ้า พร้อมลงสนาม SET ปีนี้
นายเสกสรรค์ ธโนปจัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟิน พลัส แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท พรีเมียร์ควอลิตี้สตาร์ช จำกัด (มหาชน) หรือ PQS ผู้ผลิตแป้งมันสำปะหลังชั้นนำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีความเชี่ยวชาญด้านการผลิตแป้งมันสำปะหลังกว่า 20 ปี เปิดเผยว่า หลังจาก PQS ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 170 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็น 25.37% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2566 และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET ในกลุ่มอุตสาหกรรม หมวดธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร / อาหารและเครื่องดื่ม ภายในปี 2566
ทั้งนี้ PQS มีความพร้อมสำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของบริษัทฯ ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลัง (Native Starch), แป้งมันสำปะหลังดัดแปร (Modified Starch) และแป้งแปรรูปอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ทั้งส่วนอุตสาหกรรมอาหาร (Food Grade) และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแปรรูปอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาหาร (Industrial Grade) โดยจัดจำหน่ายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ (Biogas) เพื่อใช้ในโรงงาน และจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
ด้านนายสมยศ ชาญจึงถาวร รองประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร PQS กล่าวว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ ผลิตและจำหน่าย สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ 1. ผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง (Tapioca) เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปจากหัวมันสำปะหลัง และ 2. การผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ (Biogas) โดยงวด 9 เดือนในปี 2565 มีสัดส่วนการผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลัง และการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพในสัดส่วน 98.53% และ 1.47% ตามลำดับ
โดยบริษัทฯ มีบริษัทย่อย 3 แห่ง ประกอบด้วย 1. บริษัท พรีเมียร์ควอลิตี้สตาร์ช (2012) จำกัด หรือ PQS2012 ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท ทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลัง (Native Starch) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่นเดียวกับ PQS โดยมีโรงงานผลิตตั้งอยู่ที่ ต.นาแก้ว อ.โพนนาแก้ว จ.สกลนคร
2. บริษัท พรีเมียร์ไบโอเอนเนอร์จี จำกัด หรือ PBE มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท ทำธุรกิจผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียและกากมันสำปะหลังสดจากกระบวนการผลิตแป้งมันสำปะหลัง มาผ่านกระบวนการหมัก เพื่อให้เกิดก๊าซเพื่อนำมาเป็นเชื้อเพลิงภายในโรงงาน และนำก๊าซไปผลิตเพื่อจำหน่าย โดยมีโรงงานตั้งอยู่ที่ ต.คำป่าหลาย อ.เมืองมุกดาหาร จ.มุกดาหาร และต.นาแก้ว อ.โพนนาแก้ว จ.สกลนคร
รวมทั้ง 3. บริษัท พรีเมียร์โมดิไฟด์สตาร์ช จำกัด หรือ PMS ทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลังดัดแปร (Modified Starch) ที่เกิดจากการนำแป้งมันสำปะหลัง (Native Starch) มาผ่านกระบวนการเปลี่ยนคุณสมบัติทางเคมี โดย PMS ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างอาคารโรงงาน มีความคืบหน้า 80% และอยู่ระหว่างการสั่งซื้อเครื่องจักร ซึ่งโรงงานนี้จะไม่ได้ใช้เงินจาก IPO แต่จะใช้กระแสเงินสดภายในกิจการและการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และคาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จและเริ่มสร้างรายได้เชิงพาณิชย์ในไตรมาส 4/2566 ซึ่งสถานที่ตั้งโรงงานอยู่ที่ ต.คำป่าหลาย อ.มุกดาหาร จ.มุกดาหาร
ส่วนนายรัฐวิรุฬห์ ชาญจึงถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเมียร์ควอลิตี้สตาร์ช จำกัด (มหาชน) หรือ PQS กล่าวว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะใช้เป็นเงินลงทุน และใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน เพื่อให้สอดคล้องกับแผนเติบโตของบริษัทฯ
สำหรับจุดเด่นของบริษัทฯ คือ มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมผลิตแป้งมันสำปะหลัง และมีโรงงานใน จ.มุกดาหาร และจ.สกลนคร ที่อยู่บนทำเลที่อุดมไปด้วยวัตถุดิบมันสำปะหลังคุณภาพจากเกษตรในพื้นที่ ส่งผลให้วัตถุดิบมีความสดใหม่อยู่เสมอ ส่งผลให้สินค้าแป้งมันสำปะหลังที่ผลิตมีคุณภาพตรงตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในระดับสากล รวมถึงระบบบริหารจัดการที่ดีไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า ในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ทำให้มีศักยภาพในการแข่งขัน สะท้อนถึงพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และแนวโน้มการเติบโตที่ยั่งยืน
ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ในรอบ 3 ปีย้อนหลังที่ผ่านมา (ปี 2562-2564) มีรายได้รวม 1,255.70 ล้านบาท, 1,282.05 ล้านบาท และ 2,254.03 ล้านบาทตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 65.75 ล้านบาท, 82.09 ล้านบาท และ 313.82 ล้านบาทตามลำดับ ซึ่งเห็นได้ว่าผลประกอบการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามทิศทางเดียวกันกับการเพิ่มขึ้นของปริมาณการขาย
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท ภายหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท