TISCO ตั้งเป้าสินเชื่อปี 66 โต 10% ขยายเพิ่ม 200 สาขา – คุม NPL ไม่เกิน 3%
TISCO วางเป้าสินเชื่อปี 66 โต 5-10% เน้นกลุ่มผลตอบแทนสูง รุกขยายธุรกิจ "สมหวัง เงินสั่งได้" เพิ่มอีก 200 สาขา มุ่งมั่นควบคุม NPL ไม่เกิน 3% หลังโชว์กำไรสุทธิปี 65 โต 6% แตะ 7.2 ล้านบาทตามคาด!
นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO เปิดเผยว่า การเติบโตของสินเชื่อของธนาคารในปี 2566 ตั้งเป้าเติบโต 5-10% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยยังเน้นรุกสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนที่สูง ได้แก่ สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง สินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุก เป็นต้น ด้วยการเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจ “สมหวัง เงินสั่งได้” ปีนี้จะขยายสาขาเชิงรุกมากขึ้นอีก 200 สาขา จากเดิมเคยขยายสาขาเฉลี่ย 50-100 สาขาต่อปี ให้เข้าถึงกลุ่มชุมชนได้มากขึ้นเพื่อสร้างฐานลูกค้าใหม่
ขณะที่ธนาคารจะยังควบคุมสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 3% แต่ก็ยอมรับว่าทิศทาง NPL มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นตามการปล่อยสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูงที่มีความเสี่ยงสูงตามมา แต่ธนาคารได้เตรียมความพร้อมตั้งสำรองฯรองรับไปมากในปีก่อนแล้ว ทำให้ธนาคารยังมีความมั่นใจว่าสามารถควบคุมความเสี่ยงได้อย่างแน่นอน
นอกจากนั้น นายศักดิ์ชัย กล่าวถึงการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเปิดให้ยื่นขอไลเซนส์ Virtual Bank นั้น กลุ่มทิสโก้ยังไม่สนใจ เพราะต้องการมุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายบริการผ่านแอปพลิเคชั่นของธนาคารทิสโก้เป็นหลัก ซึ่งขณะนี้มีบริการเพียงพอ และครอบคลุมความต้องการของกลุ่มลูกค้าแล้ว แต่จะขอดูพัฒนาการ ทิศทาง และผลตอบรับของ Virtual Bank ที่จะเกิดขึ้นก่อนว่าจะมีผลออกมาเป็นอย่างไร แต่ในระยะแรกธนาคารคงยังไม่เข้าไป
ด้านนายชาตรี จันทรงาม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายควบคุมการเงิน และบริหารความเสี่ยง TISCO กล่าวว่า การตั้งสำรองฯในปี 2566 คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ลดลงหรือใกล้เคียงกับปี 2565 ที่ตั้งสำรองฯไปแล้วสูงถึง 700 ล้านบาทเพื่อความพร้อมในการรุกการปล่อยสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง และรองรับความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคต และสร้างความแข็งแกร่งให้กับธนาคาร
ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะปรับไปตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แต่ปกติแล้วธนาคารจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากนำไปก่อนเพื่อสะท้อนต้นทุนที่สูงขึ้น จากนั้นจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตาม ขณะที่ในส่วนของมาร์จิ้นในปีนี้มองว่าจะค่อนข้างแคบลง เพราะต้นทุนการเงินจะสูงขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ทำให้มาร์จิ้นในปีนี้ปรับเพิ่มขึ้นได้ค่อนข้างจำกัด
สำหรับแนวโน้มรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยจะกลับเข้ามาหนุนผลการดำเนินงานอีกครั้ง หลังจากที่ปีก่อนลดลงไปราว 12% ทำให้กลายเป็นฐานที่ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากปี 2565 ธุรกิจด้านตลาดทุนและกองทุนรวมได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดที่มีความผันผวน และความซบเซาของตลาด แต่ในปีนี้มองว่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้น
นอกจากนี้ในปัจจุบันธนาคารมีเงินทุนที่รองรับการลงทุนเพิ่มเติม โดยเฉพาะการลงทุนในธุรกิจเกี่ยวข้องกับสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น ธุรกิจลีสซิ่ง และสินเชื่อจำนำทะเบีนรรถ เป็นต้น ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การเข้าซื้อพอร์ตสินเชื่อที่มีหลักประกันในธุรกิจที่บริษัทให้ความสนใจ โดยมีการเปิดกว้างในการพิจารณาหากมีผู้ประกอบการสนใจเสนอเข้ามาขายพอร์ตสินเชื่อ ส่วนการนำสมหวัง เงินสั่งได้ Spin off เข้าตลาดหุ้นเมื่อใดนั้น ขณะนี้ยังไม่มีแผน
ส่วนผลการดำเนินงานปี 2565 สิ้นสุดวันที่ 30 ธันวาคม 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 7,221.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 437.14 ล้านบาท หรือ 6.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 6,784.59 ล้านบาท เป็นผลมาจากการฟื้นตัวของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ และการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ที่ลดลงอย่างมากจากในปี 2564 ตั้งไว้จำนวน 2,063.98 ล้านบาท มาในปี 2565 ตั้งสำรองเพียง 722.68 ล้านบาท ลดลง 65% และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียปี 2565 อยู่ที่ 55.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 668.8% จากปี 2564 อยู่ที่ 7.22 ล้านบาท