“นักวิชาการ” ชี้ยอดค้าปลีก สหรัฐหด ไร้กระทบไทย
นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์มองว่า ยอดค้าปลีก สหรัฐลดลง ไม่กระทบไทยเนื่องรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดกลายเป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องหันมาจับตา หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่างยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้มาก ได้กดดันให้ผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐฯ เดินหน้าขายสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดที่ต่างสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจนแตะระดับสูงกว่า 5% ก็ยิ่งกดดันบรรยากาศในตลาดการเงินฝั่งสหรัฐฯมากยิ่งขึ้น
สำหรับสัญญาณการถอดถอยของเศรษฐกิจของสหรัฐที่นักลงทุนต่างกังวลนั้น แต่ในมุมมองของ นายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะถ้าหากไปดูตัวเลขเงินเฟ้อ ก็ลดลงมาเยอะเหลือประมาณ 7% อีกปัจจัยที่นักลงทุนกังวลว่า เงินเฟ้อปรับลดลงมาไม่เยอะ ก็มีที่มาจากอัตราการจ้างงานยังดีอยู่ ขณะเดียวกันหากไปดูเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ ก็ยังคงมีขยายตัวอยู่ ซึ่งเห็นได้จากเวทีการประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอสของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้นำประเทศต่างๆ ก็มีมองโลกในแง่ดีกว่าเก่า
นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ ที่มีการปรับตัวเลขเรื่องเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จึงสรุปได้ว่าเรื่องตัวเลขของการค้าปลีกสหรัฐนั้นยังไม่ต้องกังวล และยืนยันเศรษฐกิจของสหรัฐนั้นยังขยายตัวได้ ประมาณ 0.5%–1% พร้อมกับมองว่าเศรษกิจโลกในภาพรวมตอนนี้ยังขยายตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 เพียงแต่ว่าการเติบโตในปีนี้จะน้อยกว่าปีที่แล้ว แต่เพื่อความไม่ประมาทยังติดติดตามสถานการณ์ต่างๆในอนาคตที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจโลกหลังจากนี้
ขณะที่ นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน แนะนำว่าต้องจับตาดูว่าธนาคารกลางสหรัฐที่จะมีการประชุมในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ว่าจะส่งสัญญาณอย่างไรบ้าง ซึ่งถ้ายังมีการขึ้นดอกเบี้ยต่อไปเศรษฐกิจของสหรัฐก็จะมีการผันผวน
ส่วนที่นักลงทุนเป็นห่วงเศรษฐกิจสหรัฐนั้น นายกรภัทร เห็นว่า นักลงทุนส่วนหนึ่งมองว่า สภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะหลีกเลี่ยงได้ โดยทั้งหมดนั้นก็ขึ้นอยู่กับนโยบายทางเศรษฐกิจของสหรัฐที่จะดำเนินการหลังจากนี้ ซึ่งอาจจะมีการหดตัวแค่สั้นๆและฟื้นตัวได้ไว แต่ทั้งหมดก็ไม่น่ากังวลเพราะตลาดของฝั่งเอเชียก็จะไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าในอดีต เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจไม่เหมือนกันแต่ก่อน