“ครม.” ไฟเขียวอัดงบ 6 พันล้าน ลุยผุด 2 นิคมฯใน “EEC-ลำพูน”
“ครม.” ไฟเขียวอัดงบ 6 พันล้าน ลุยผุด 2 นิคมฯในพื้นที่ “EEC-ลำพูน” ดึงเม็ดเงินลงทุนจากญี่ปุ่น-หนุนจ้างงานในไทยกว่า 2 หมื่นคน คาดพื้นที่ถูกขาย-ให้เช่าหมดภายใน 5 ปี
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการลงทุนจัดซื้อที่ดินโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และจังหวัดลำพูน รวม 2 โครงการ ดังนี้
1.โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC มูลค่าการลงทุนประมาณ 4,385 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากรายได้และเงินสะสมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ทั้งหมด โครงการตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลสำนักทอง อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เป็นที่ดินประเภทพัฒนาอุตสาหกรรม มีเนื้อที่ประมาณ 1,482 ไร่ มุ่งเน้นอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์สมัยใหม่ การบินและโลจิสติกส์ หุ่นยนต์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ รีไซเคิลกากอุตสาหกรรม และกลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์
สำหรับกลุ่มเป้าหมายของโครงการนี้เป็นผู้ประกอบการญี่ปุ่น คาดว่าพื้นที่จะถูกขายหรือให้เช่าหมดภายใน 5 ปี หลังก่อสร้างเสร็จ ประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการนี้ ก่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคม โดยคาดว่าจะเกิดการจ้างงานประมาณ 13,920 คน และเกิดผลผลิตรวมให้กับประเทศในสาขาต่าง ๆ มากถึง 1,542.34 ล้านบาท
2.โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดลำพูน มูลค่าการลงทุนประมาณ 2,160 ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากรายได้และเงินสะสมของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ทั้งหมด โครงการนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลมะเขือแจ้ และตำบลบ้านกลาง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน เป็นที่ดินประเภทอุตสาหกรรมทั่วไปที่ไม่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและคลังสินค้า มีเนื้อที่ประมาณ 653 ไร่ และที่ดินถนนทางเข้าประมาณ 25 ไร่ มุ่งเน้นอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องประดับ เครื่องนุ่งห่ม แปรรูปอาหาร และ Bio Technology
สำหรับกลุ่มเป้าหมายของโครงการนี้ เป็นผู้ประกอบการญี่ปุ่นเช่นกัน คาดว่าพื้นที่จะถูกขายหรือให้เช่าหมดภายใน 5 ปี หลังก่อสร้างเสร็จ ประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการนี้ ก่อให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคม โดยคาดว่าจะเกิดการจ้างงานประมาณ 8,415 คน และเกิดผลผลิตรวมให้กับประเทศในสาขาต่าง ๆ มากถึง 277.85 ล้านบาท
น.ส.รัชดา กล่าวว่า ครม.มีคำแนะนำให้ กนอ.มีแผนรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่ไม่สามารถซื้อที่ดินจากเอกชนได้ครบตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งอาจพิจารณาทบทวนรูปแบบการลงทุนใหม่ โดยเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างการลงทุนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมใหม่กับการพัฒนาขยายพื้นที่ในนิคมอตุสาหกรรมเดิมที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้สามารถใช้พื้นที่เดิมได้อย่างเต็มศักยภาพต่อไป