“อสังหาฯ-ก่อสร้าง” เด่น ! ยอดตั้งบริษัทปี 65 ทะลุ 7.6 หมื่นราย
“กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ”เผยยอดตั้งบริษัทใหม่ปี 65 โตทะลุ 7.6 หมื่นราย “ธุรกิจก่อสร้าง” บูมสุด! ฟากผู้ประกอบการ “ต่างด้าว” แห่ลงทุน 583 ราย “ญี่ปุ่น” มากสุด โกยเม็ดเงินเข้าไทย 1.3 แสนล้าน คาดรับผลบวกท่องเที่ยวหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุน
นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยตัวเลขการจดทะเบียนธุรกิจธุรกิจจัดตั้งใหม่ปี 2565 พบว่า จำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศ ปี 2565 จำนวน 76,488 ราย เมื่อเทียบกับปี 2564 จำนวน 72,958 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 3,530 ราย คิดเป็น 5% และเมื่อเทียบปี 2563 จำนวน 63,340 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 13,148 ราย คิดเป็น 21%
“เป็นผลมาจากภาพรวมเศรษฐกิจมีทิศทางดีขึ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะปกติ มีการจับจ่ายใช้สอย จากการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา ประกอบกับเข้าสู่ช่วงเทศกาลมีการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้มีความเชื่อมั่นทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจ”
โดยประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 7,061 ราย คิดเป็น 9% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 4,833 ราย คิดเป็น 6% และธุรกิจในภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 3,014 ราย คิดเป็น 4% ตามลำดับ
ขณะที่ธุรกิจเลิกประกอบกิจการปี 2565 จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ ประจำปี 2565 มีจำนวน 21,880 ราย เพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 127,048.39 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 2,012 ราย คิดเป็น 9% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 1,023 ราย คิดเป็น 5% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 623 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี สำหรับการคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2566 มีการคาดการณ์ว่า GDP จะอยู่ที่ 3-4% จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้นโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน จะส่งผลการขยายตัวในการลงทุนของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน การบริโภคมีการเพิ่มขึ้น มีความเชื่อมั่นมากขึ้น ส่งผลต่อปัจจัยบวกในการดำเนินธุรกิจ แม้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะมีความผันผวนก็ตาม และคาดการณ์ว่าการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในปี 2566 จะใกล้เคียงปี 2565 อยู่ระหว่าง 72,000-77,000 ราย
นายทศพลกล่าวอีกว่า การจดทะเบียนในเดือนธันวาคม 2565 พบว่าจำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่ มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทใหม่ทั่วประเทศ ในเดือนธันวาคม 2565 จำนวน 4,008 ราย เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 21,215.60 ล้านบาท
ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 352 ราย คิดเป็น 9% รองลงมา คือ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 318 ราย คิดเป็น 8% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจในภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 201 ราย คิดเป็น 5% ตามลำดับ
ส่วนธุรกิจเลิกประกอบกิจการเดือนธันวาคม 2565 จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ ประจำเดือนธันวาคม 2565 มีจำนวน 5,784 ราย เพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีมูลค่า ทุนจดทะเบียนจำนวน 22,069.76 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเลิกกิจการในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 514 ราย คิดเป็น 9% รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 241 ราย คิดเป็น 4% และธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 167 ราย คิดเป็น 3% ตามลำดับ
ส่งผลให้ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ เดือนธันวาคม 2565 อยู่ทั้งสิ้น (ณ วันที่ 31 ธ.ค. 65) ธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ จำนวน 850,480 ราย มูลค่าทุน 21.19 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 200,437 ราย คิดเป็น 23.57% บริษัทจำกัด จำนวน 648,661 ราย คิดเป็น 76.27% และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,382 ราย คิดเป็น 0.16% ตามลำดับ
สำหรับการลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าว ปี 2565 (มกราคม-ธันวาคม) เดือนมกราคม-ธันวาคม 2565 คนต่างชาติได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ จำนวน จำนวน 583 ราย มีเงินลงทุนทั้งสิ้น 128,774 ล้านบาท
ส่วนเดือนธันวาคม 2565 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจทั้งสิ้น มีจำนวน 53 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจจำนวน 20 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจจำนวน 33 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 16,308 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 170% จากเดือนพฤศจิกายน 2565 (เพิ่มขึ้น 10,279 ล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ ได้แก่ ญี่ปุ่น จำนวน 14 ราย เงินลงทุน 515 ล้านบาทรองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ จำนวน 13 ราย เงินลงทุน 3,894 ล้านบาท และจีน จำนวน 6 ราย เงินลงทุน 629 ล้านบาท ตามลำดับ