“สศค.” มองปี 66 นทท.เข้าไทยพุ่ง 27.5 ล้านคน ดันศก.โต 3.8%
“สศค.” คาดทั้งปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทยราว 27.5 ล้านคน พุ่งขึ้น 147% จากปีก่อน หนุนรายได้ภาคการท่องเที่ยวแตะ 1.2 ล้านล้านบาท ดันเศรษฐกิจขยายตัว 3.3-4.3%
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ระบุว่า เศรษฐกิจในปี 66 คาดว่าจะขยายตัวในช่วง 3.3-4.3% ได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและอุปสงค์ภายในประเทศ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวเอเชียที่จะเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น คาดว่าทั้งปีจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามา 27.5 ล้านคน พุ่งขึ้น 147% จากปีก่อน ส่งผลให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวทำได้ถึง 1.2 ล้านล้านบาท
ส่วนการบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัว 3.5% ตามรายได้ภาคประชาชนที่เพิ่มขึ้น โดยบทบาทของนโยบายการคลังจะยังมีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง และช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในทุกภาคส่วนให้เป็นไปอย่างทั่วถึง ขณะที่การลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัว 3.6% จากความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจภายในประเทศที่เริ่มกลับมาดีขึ้น
ด้านการส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าจะยังขยายตัวได้ราว 0.4% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป คาดว่าจะอยู่ที่ 2.8% (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.3-3.3%) ปรับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3% เนื่องจากราคาพลังงานโลกลดลง ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะกลับมาเกินดุลได้ 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 0.5% ของ GDP
ส่วนปัจจัยต่อเศรษฐกิจไทยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ด้านปัจจัยสนับสนุน อาทิ ภาคการท่องเที่ยวมีโอกาสฟื้นตัวได้มากกว่าคาด โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนหลังเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทาง
ด้านปัจจัยเสี่ยง อาทิ 1.ทิศทางเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และความผันผวนของตลาดการเงินโลก จากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะสหรัฐและสหภาพยุโรป 2.ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์โลก ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงระหว่างประเทศ และปัจจัยการผลิตต่าง ๆ และ 3.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
สมมติฐานสำคัญที่นำมาพิจารณาในประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 66 ดังนี้
1.แนวโน้มเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ 15 ประเทศในปี 66 คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.7% ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่เป็นอัตราชะลอลงจากปี 65 ที่ขยายตัว 3% จากผลของนโยบายการเงินของหลายประเทศที่เข้มงวดมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เชื่อว่าผลกระทบจะไม่รุนแรงมาก เนื่องจากได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยวและการบริโภคของหลายประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น
2.เงินบาทเฉลี่ยทั้งปี 32.50 บาท/ดอลลาร์ ทิศทางแข็งค่าเนื่องจากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่องจากปีก่อน ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐยังมีทิศทางอ่อนค่า หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มชะลอการขึ้นดอกเบี้ยหลังอัตราเงินเฟ้อเริ่มเข้าใกล้ระดับเป้าหมาย อย่างไรก็ดี แนวโน้มเงินทุนไหลเข้าในตลาดพันธบัตรของไทยที่ยังมีอยู่ต่อเนื่องเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เงินบาทปีนี้ยังแข็งค่า
3.ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย 85 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 11% จากปี 65 แต่ยังต้องจับตาความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งจะมีผลให้เกิดวิกฤตพลังงานและทำให้ราคาน้ำมันอาจสูงขึ้นได้
4.จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 27.5 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นจากปี 65 ถึง 147% ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท คาดว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ 43,406 บาท/คน/ทริป
5.รายจ่ายภาคสาธารณะ โดยงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ที่ 3.2 ล้านล้านบาทนั้น คาดว่าจะมีการเบิกจ่าย 3 ล้านล้านบาท คิดเป็นอัตรา 93.8%
โฆษกกระทรวงการคลัง ยังกล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 65 ว่า ขยายตัวได้ 3.0% ซึ่งการผ่อนปรนมาตรการการเดินทางของประเทศต่าง ๆ ประกอบกับ สถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศที่ปรับดีขึ้น ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและภายในประเทศ ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 11.2 ล้านคน สร้างรายได้ 3.6 แสนล้านบาท ด้านมูลค่าการส่งออก ขยายตัว 5.3% การนำเข้า ขยายตัว 15.0% ดุลบัญชีเดินสะพัด ขาดดุล 19.8 พันล้านดอลลาร์ ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 6.1%