“บล.พาย” คัด 22 หุ้นปลอดภัย วางกรอบ SET สัปดาห์นี้ 1,665 – 1,700 จุด
“บล.พาย” คัด 22 หุ้น Defensive ได้แก่ ADVANC, INTUCH, BCH, BDMS, CHG, BJC, CPALL, HMPRO, AOT, CENTEL, ERW, MINT, SPA ,SHR, BGRIM, GPSC, GULF, RATCH, MAJOR, BBL, KBANK และ CK ประเมิน SET สัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,665 – 1,700 จุด
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) หรือ Pi ระบุว่า ตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ (27 ม.ค.) ปิดบวกเล็กน้อย 0.08% รับปัจจัยหนุนจากดัชนี PCE ชะลอตัวช่วยให้นักลงทุนคลายกังวลกับภาวะเงินเฟ้อและดอกเบี้ย ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.9% นักลงทุนขายลดความเสี่ยงก่อนเผชิญกับประชุม OPEC+ สัปดาห์หน้า
โดยสัปดาห์นี้ตลาดจะไปจับตาประชุม FED ที่จะทราบผลอย่างเป็นทางการในช่วงเช้าวันพฤหัสบดีตามเวลาประเทศไทย ข้อมูลจาก CME FED WATCH ระบุว่า ให้น้ำหนักมากถึง 98.4% ที่ FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% ขณะที่อีก 1.6% ระบุว่าจะคงดอกเบี้ยที่ระดับเดิม หากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ก็จะทำให้ดอกเบี้ย FED ขึ้นมาทดสอบ 4.75% ซึ่งเป็นระดับดอกเบี้ยที่จะเริ่มสูงกว่าเงินเฟ้อ (PCE) ทั้งนี้หากนำ FED Rate – PCE ย้อนหลัง 53 ปี พบว่าค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1.5% หรือหมายความว่าโดยสถิติแล้ว FED Rate มักจะสูงกว่า PCE เพียง 1.5%
สำหรับปี 66 Bloomberg ประเมินว่า PCE สหรัฐฯ เฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หากนำ 1.5 ที่เป็นค่าเฉลี่ยบวกกลับเข้าไปดอกเบี้ย FED ก็อาจไม่จำเป็นต้องสูงกว่า 5% (โดยสถิติ) สอดคล้องกับที่ CME FED WATCH คาดการณ์ว่าดอกเบี้ย FED จะทำจุดสูงสุดราว 5% ในขณะที่ CPI กับ PCE ค่าเฉลี่ยมักจะห่างกันเพียง 0.6% ดังนั้นก็พอจะประมาณการได้ว่า CPI เฉลี่ยทั้งปี 66 จะลงมาอยู่แถว 4% +/- ซึ่งค่าเฉลี่ย FED – CPI จะอยู่ราว 0.9% ดังนั้นหาก CPI อยู่ที่ 4% ดอกเบี้ย FED ก็ควรจะไม่เกินไปกว่า 5% อย่างไรก็ตามข้อมูลในอดีตบ่งชี้ชัดว่าหลังจากดอกเบี้ยลงตลาดหุ้นมักจะปรับลง
ส่วนสัปดาห์นี้นอกเหนือจะประชุม FED ต้องติดตาม (1) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในสหรัฐฯ ในวันอังคาร Bloomberg ประเมินไว้ที่ 109 (2) ประชุม OPEC+ ในวันพุธ มีการคาดการณ์กันว่าที่ประชุมจะคงดำนโยบายเช่นเดิมเพราะมองถึงอุปสงค์ที่สูงขึ้นจากจีนเปิดประเทศ ขณะที่ในวันเดียวกันจะมีการรายงาน PMI ของสหรัฐฯ Bloomberg ประเมินไว้ว่าจะลดลงต่อเนื่องทดสอบ 48 จากเดือนก่อนที่ 48.4 (3) ภาคแรงงานสหรัฐฯในวันศุกร์ Bloomberg ประเมินการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ 1.93 แสนตำแหน่งและอัตราการว่างงานที่ 3.6% (4) ผลประกอบการไตรมาส 4/65 ของบริษัทฯใน SET Bloomberg ประเมินว่าจะมี DTAC รายงาน โดยประเมินกรอบ SET สัปดาห์นี้ที่ 1,665 – 1,700 จุด
ด้านเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะให้ถือครองเงินสดระดับสูงจากความเสี่ยงข้างหน้าของเศรษฐกิจถดถอย ส่วนหุ้นแนะนำเน้น Defensive อาทิ สื่อสาร (ADVANC, INTUCH), โรงพยาบาล (BCH, BDMS, CHG), ค้าปลีก (BJC, CPALL, HMPRO), ท่องเที่ยว (AOT, CENTEL, ERW, MINT, SPA ,SHR), โรงไฟฟ้า (BGRIM, GPSC, GULF, RATCH), โรงภาพยนตร์ (MAJOR), ธนาคาร (BBL, KBANK)
ทั้งนี้แนะนำ “ซื้อ” KBANK ราคาเป้าหมาย 170 บาท เพิ่มมูลค่าพื้นฐานขึ้นจาก 165 บาท เป็น 170 บาท แม้มีมุมมองเป็นกลางต่อบรรยากาศการประชุมนักวิเคราะห์ แต่เล็งเห็นโอกาสที่ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญจะลดลงหลังการระบายงบดุลสิ้นสุดลงในปี 66 คาดค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญจะค่อย ๆ ลดลงเป็น 200/180/160bps ในปี 66-68 ตามลำดับ จึงคงมองว่ากำไรสุทธิของ KBANK จะพลิกเป็นบวกระดับ 16% ในปี 66
นอกจากนี้แนะนำ “ซื้อ” CK ราคาเป้าหมาย 27.75 บาท ด้วยงานใหม่ที่คาดว่าจะเข้ามาในช่วงปลายปีอีก 2 งานรวมกันกว่า 200,000 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้เข้ามาได้ทันที ทำให้ประเมินรายได้ในปี 66 จะกลับสู่ช่วงขาขึ้นอีกครั้งมาอยู่ที่ 22,142 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และคาดกำไรสุทธิที่ 1,247 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากงวดเดียวกันของปีก่อน