TEGH ปักธงปี 66 รายได้โตทะลุ 10% ขยายกำลังผลิต “ยางแท่ง” อีก 1.3 แสนตัน/ปี
TEGH ปักธงปี 66 รายได้โตทะลุ 10% เดินหน้าขยายกำลังผลิต “ยางแท่ง” อีก 1.3 แสนตัน/ปี เจาะตลาดลูกค้ายางล้ออินเดีย-จีนเพิ่ม รองรับดีมานด์สูงขึ้น เล็งเดินเครื่องผลิต “ไบโอแก๊สเฟส 1” ส่วนขยายไตรมาสนี้
นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในปี 66 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตมากกว่า 10% จากปีก่อน โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จาก 3 ธุรกิจหลักจะใกล้เคียงเดิม คือ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ 75%, ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ 24% และธุรกิจด้านผลิตพลังงานทดแทนและการบริหารจัดการกากอินทรีย์และธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจร่วมทุนและธุรกิจโลจิสติกส์ 1% อย่างไรก็ตาม ประเมินว่ากลุ่มธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบจะสามาถพลิกมาทำกำไรได้จากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและพลังงานทดแทนจะมีทิศทางที่ดีจะดีขึ้น จากการขยายกำลังการผลิต
สำหรับแผนธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติปีนี้ บริษัทฯ มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตยางแท่งอีก 130,000 ตัน/ปี จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 320,000 ตัน/ปี คาดว่าจะ COD ได้ในปี 67 ซึ่งกลยุทธ์จะยังคงเน้นการผลิตสินค้าเกรดพรีเมี่ยมและจะให้ความสำคัญกับสินค้ามาตรฐานความยั่งยืน (FSC) ที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้ โดยวอลุ่มขายยางแท่ง FSC เติบโตขึ้นและมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าทำสัญญาตลอดทั้งปีแล้ว
นอกจากนี้บริษัทฯ มีแผนขยายฐานลูกค้ากลุ่มยางแท่งไปยังตลาดอินเดียและจีนมากขึ้น จากปัจจุุบันมีส่วนแบ่งการตลาดในอินเดียอยู่ที่ 10% และจีน อยู่ที่ 8% โดยคาดว่าในปีนี้จะมีลูกค้ารายใหม่ได้ตามเป้า เนื่องจากกลุ่มประเทศดังกล่าวมีดีมานด์สูง โดยในช่วงต้นปีเริ่มมีสัญญาณที่ดีจากลูกค้าและราคายางแท่งที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นผลจากจีนเปิดประเทศ และตลาดรถยนต์ EV ที่เติบโตขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลดีต่อสินค้ายางแท่ง ซึ่งตั้งเป้าสัดส่วนการส่งออกของกลุ่มธุรกิจยางยังคงเป็นในประเทศ 50% และต่างประเทศ 50%
ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ บริษัทฯคาดว่าปีนี้จะกลับมาเทิร์นอะราวด์ได้ หลังจากโครงการติดตั้ง Boiler ลูกใหม่จะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/66 ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น โดยคาดปริมาณการขายน่าจะเติบโตขึ้นจากปีก่อน และความสามารถในการทำกำไรจะดีขึ้นจากตัวเลขเปอร์เซ็นต์การสกัดน้ำมันปาล์มดิบ (%OER) ที่สูงขึ้น โดยกลุ่มฐานลูกค้ายังคงเหมือนเดิม แต่บริษัทฯจะเพิ่มธุรกรรมซื้อมาขายไปมากขึ้น เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตในอนาคต
“ขณะที่ธุรกิจด้านผลิตพลังงานทดแทนและการบริหารจัดการกากอินทรีย์ คาดว่ารายได้จะเติบโตขึ้น จากโครงการขยายกำลังการผลิตก๊าซชีวภาพ ระยะที่ 1 ที่คาดว่าจะ COD ได้ในช่วงต้นไตรมาส 1/66 ซึ่งจะสามารถรับกากอินทรีย์ได้เพิ่มขึ้นอีกวันละ 300 ตัน ทำให้บริษัทฯ มีความสามารถในการรับบริหารจัดการกากอินทรีย์ รวมเป็น 720,000 ตันต่อปี และผลิตก๊าซชีวภาพได้เพิ่มขึ้นอีกวันละ 30,000 ลูกบาศก์เมตร ทำให้กำลังการผลิตก๊าซชีวภาพรวมเพิ่มเป็น 34 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี” นางสาวสินีนุช กล่าว