“ดาวโจนส์” ร่วง 200 จุด นักลงทุนเทขายลดความเสี่ยง ก่อนรู้ผลเฟด

"ดัชนีดาวโจนส์" ร่วง 200 จุด นักลงทุนเทขายลดความเสี่ยง ก่อนรู้ผลประชุมเฟดคืนนี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(1ก.พ.66) ดัชนีดาวโจนส์ ณ เวลา 21:35 น. ตามเวลาไทยร่วงลงมาอยู่ที่ 33,880.45 จุด ลบ 205.59 จุด หรือ 0.6% เหตุนักลงทุนขายลดความเสี่ยง ก่อนจะรู้ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในคืนนี้

โดยเฟดจะประกาศผลการประชุมนโยบายการเงินในคืนนี้ เวลา 02:00 น.ตามเวลาไทย และหลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วโมง นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด จะออกมากล่าวแถลงผลการประชุม พร้อมกับให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในปีนี้

อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครั้งนี้ จะไม่มีการเปิดเผยคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด (Dot Plot) รวมทั้งตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อ การว่างงาน และการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ

ทั้งนี้ นักลงทุนให้น้ำหนักเกือบ 100% ในการคาดการณ์ว่า เฟดจะประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% หลังสิ้นสุดการประชุมนโยบายการเงินในคืนนี้ ซึ่งเป็นการประชุมนโยบายการเงินนัดแรกของเฟดในปีนี้

อีกทั้งนักลงทุนคาดการณ์ดังกล่าว หลังดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ต่างบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว

ขณะเดียวกัน ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือนมี.ค. รวมทั้งจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้

นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสู่ระดับ 5.0% ในปีนี้ ต่ำกว่าที่เฟดส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่าจะปรับขึ้นสู่ระดับ 5.1% หรือเทียบเท่ากับช่วงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ย 5.00-5.25%

สำหรับ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50%-4.75% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. และจะปรับขึ้นอีก 0.25% สู่ระดับ 4.75%-5.00% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. ก่อนที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าว

นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 28-29 ก.ย. ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้ โดยก่อนหน้านี้เฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในปี 2567

ทั้งนี้ เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีที่แล้วเพื่อสกัดเงินเฟ้อ หลังจากที่รัสเซียประกาศบุกโจมตียูเครนในวันที่ 24 ก.พ.2565 ทำให้สหรัฐและชาติตะวันตกออกมาตรการคว่ำบาตร ส่งผลให้ทั่วโลกเกิดการขาดแคลนพลังงานและอาหารอย่างหนัก และเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบหลายสิบปี

สำหรับเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากถึง 7 ครั้งในปีที่แล้ว โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 1 ครั้ง, 0.50% จำนวน 2 ครั้ง และ 0.75% จำนวน 4 ครั้ง ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4.25%

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนธ.ค.2565 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี

พร้อมในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดคาดว่าจะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปี 2566 และจะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2567 โดยเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสู่ระดับ 5.1% ในปี 2566 ก่อนที่จะสิ้นสุดวัฏจักรปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยระดับดังกล่าวเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2550

โดยหลังจากที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 5.1% ในปี 2566 หรือเทียบเท่ากับช่วงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ย 5.00-5.25% เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อจับตาดูผลกระทบของการคุมเข้มนโยบายการเงินที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ

นอกจากนี้ เฟดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจำนวน 1.0% ในปี 2567 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลงสู่ระดับ 4.1% ในช่วงสิ้นปีดังกล่าว และเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1.0% ในปี 2568 สู่ระดับ 3.1% ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยระยะยาวจะปรับตัวสู่ระดับ 2.5%

ขณะเดียวกัน ตลาดจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยบริษัทเมตา แพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก จะประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 4/2565 หลังปิดตลาดวันนี้

ก่อนหน้านี้ เมตา แพลตฟอร์มส์ เปิดเผยกำไรต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3/2565 ขณะที่ Reality Labs ซึ่งเป็นแผนกที่เมตาสร้างขึ้นเพื่อรองรับผลิตภัณฑ์เมตาเวิร์ส ประสบภาวะขาดทุน 3.67 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสดังกล่าว และหากพิจารณาตั้งแต่ต้นปี 2565 Reality Labs มีตัวเลขขาดทุนมากถึง 9.4 พันล้านดอลลาร์

Back to top button