“ดาวโจนส์” ปิดลบ 128 จุด หลังตัวเลขจ้างงาน “สหรัฐ” พุ่งกว่า 5 แสนตำแหน่ง
“ดาวโจนส์” ปิดลบ 127.93 จุด กังวลเฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุก หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 517,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (3 ก.พ.) หลังการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดทำให้เกิดความวิตกว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุก ขณะที่นักลงทุนผิดหวังกับการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,926.01 จุด ลดลง 127.93 จุด หรือ -0.38%, ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 4,136.48 จุด ลดลง 43.28 จุด หรือ -1.04% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,006.96 จุด ลดลง 193.86 จุด หรือ -1.59%
โดยในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ติดลบ 0.2%, ดัชนี S&P500 บวก 1.6% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 3.3%
ส่วนดัชนี S&P500 ยังคงปรับตัวขึ้นในรอบสัปดาห์นี้ และเข้าใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน ขณะที่ดัชนี Nasdaq บวกขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปลายปี 2564
สำหรับหุ้นทั้ง 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดลบในวันศุกร์ โดยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและกลุ่มบริการด้านการสื่อสารร่วงลง 3.11% และ 2.22% ตามลำดับ
ทั้งนี้ตลาดถูกกดดัน เนื่องจากตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งในเดือนม.ค. จะเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 517,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2565 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 185,000 ตำแหน่ง
ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.4% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2512 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.6%
ขณะเดียวกัน ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และเพิ่มขึ้น 4.4% เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.3%
ด้านตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่เฟดให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ดีหลังการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานในวันนี้ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีก 2 ครั้ง ในการประชุมเดือนมี.ค. และเดือนพ.ค. สู่ระดับสูงสุดที่ 5.00-5.25% ก่อนที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าว
นอกจากนี้ สัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐยังมาจากการที่สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยในวันศุกร์ว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 55.2 ในเดือนม.ค. จากระดับ 49.2 ในเดือนธ.ค. โดยดัชนีที่อยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่า ภาคบริการมีการขยายตัว
ส่วนการคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการที่ซบเซาของบริษัทจดทะเบียนถ่วงหุ้นรายตัวปรับตัวลงด้วย อาทิ หุ้นอะเมซอนร่วงลง 8.4% หลังเปิดเผยว่า ผลกำไรจากการดำเนินงานอาจลดลงในไตรมาสปัจจุบัน เนื่องจากผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลง
หุ้นอัลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลร่วงลง 2.7% หลังเปิดเผยผลกำไรและยอดขายไตรมาส 4 ที่ต่ำกว่าคาด
หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ ร่วงลง 7.6% หลังคาดการณ์แนวโน้มการดำเนินธุรกิจที่ยากลำบากในปีนี้
หุ้นแอปเปิ้ลปรับตัวขึ้น 2.4% สวนทางตลาด แม้คาดการณ์ว่ารายได้ของบริษัทจะลดลงในไตรมาส 2/2566 แต่ยอดขายไอโฟนมีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากการผลิตกลับสู่ภาวะปกติในจีน