TOP โชว์งบปี 65 โกยกำไร 3.2 หมื่นล้าน ไร้ขาดทุนสต๊อก-บุ๊กพิเศษขาย GPSC หนุน

TOP โชว์งบปี 65 โกยกำไร 3.2 หมื่นล้าน โตทะลัก 159% จากช่วงเดียวกัน1.25 หมื่นล้าน เหตุไร้ขาดทุนสต๊อก-บุ๊กพิเศษขาย GPSC หนุน


บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รายงานผลการดำเนินงานปี 65 สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.65 ดังนี้

โดยผลการดำเนินงานปี 2565 มีกำไรสุทธิ 32,668.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 159% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 12,578.02 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการขายปี 2565 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 505,703 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน 335,827 ล้านบาทท สาเหตุจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ นอกจากนี้ส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซิน น้ำมันอากาศยาน น้ำมันก๊าด และน้ำมันดีเซลกับราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวดีขึ้น หลังหลายประเทศผ่อนคลายมาตรการปิดเมืองและการเดินทางระหว่างประเทศ

อีกทั้งปี 2565 มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 15,063 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 11,450 ล้านบาท นอกจากนี้ในปี 2565 มีกำไรจากการจัดประเภทเงินลงทุนและจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC จำนวน 17,334 ล้านบาท

นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า “ภาพรวมธุรกิจการกลั่นปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมาสอดรับกับสภาพเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ทำให้ความต้องการน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานฟื้นตัวดีขึ้น อีกทั้งตลาดสารอะโรเมติกส์ก็ปรับตัวดีขึ้นจากอุปสงค์ของกลุ่มเครื่องนุ่งห่มและบรรจุภัณฑ์ขวดน้ำดื่มที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขายในช่วงไตรมาส 4/2565 ที่123,132 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 11.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล  อย่างไรก็ตาม ความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในจีน ทำให้ราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวลดลง ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์ในไตรมาส 4/2565 ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 9,178 ล้านบาท มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 1.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และกลุ่มไทยออยล์รายงานกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 4/2565 ที่ 147 ล้านบาท ส่งผลให้ไทยออยล์ในปี 2565 มีรายได้รวม 505,703 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 51 จากปี 2564 และมีกำไรสุทธิ 32,668 ล้านบาท ซึ่งรวมกำไรจากการจัดประเภทเงินลงทุนและจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท GPSC จำนวน 12,880 ล้านบาท (หลังหักภาษีเงินได้แล้ว)”

ด้าน นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจการกลั่นปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3/2565 ที่ผ่านมาสอดรับกับสภาพเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ทำให้ความต้องการน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานฟื้นตัวดีขึ้น

อีกทั้งตลาดสารอะโรเมติกส์ก็ปรับตัวดีขึ้นจากอุปสงค์ของกลุ่มเครื่องนุ่งห่มและบรรจุภัณฑ์ขวดน้ำดื่มที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มีรายได้จากการขายในช่วงไตรมาส 4/2565 ที่ 123,132 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 11.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล  อย่างไรก็ตาม ความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในจีน ทำให้ราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวลดลง ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์ในไตรมาส 4/2565 ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 9,178 ล้านบาท มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 1.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และกลุ่มไทยออยล์รายงานกำไรสุทธิในช่วงไตรมาส 4/2565 ที่ 147 ล้านบาท ส่งผลให้ไทยออยล์ในปี 2565 มีรายได้รวม 505,703 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 51 จากปี 2564 และมีกำไรสุทธิ 32,668 ล้านบาท ซึ่งรวมกำไรจากการจัดประเภทเงินลงทุนและจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท GPSC จำนวน 12,880 ล้านบาท (หลังหักภาษีเงินได้แล้ว)”

นายบัณฑิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ในปี 2566 นี้ คาดว่าจะยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเติบโตและประเทศจีนมีการยกเลิกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจก็ยังคงมีความไม่แน่นอนเนื่องจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยและคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง เพื่อควบคุมสภาวะเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ ไทยออยล์ยังคงเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก รวมถึงการต่อยอดไปยังธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ขยายตลาดและกระจายผลิตภัณฑ์ไปสู่ต่างประเทศในระดับภูมิภาค และ แสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ (New S-Curve) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลังงานในอนาคต ก้าวไปสู่เป้าหมายการเติบโตที่ยั่งยืน

Back to top button