PTTGC ลุ้นปี 66 พลิกกำไร 2 หมื่นล้าน รับดีมานด์ปิโตรฟื้น
โบรกคาด PTTGC ปี 66 พลิกกำไรทะลุ 2 หมื่นล้าน จากดีมานด์ปิโตรฯ เพิ่มหลังจีนเปิดประเทศ รวมถึงไม่มีปิดซ่อมใหญ่ทั้งโรงกลั่นฯ และโอเลฟินส์ อีกทั้งยังไร้สต๊อกลอสก้อนใหญ่ พร้อมแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายเป็น 68 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC รายงานผลการดำเนินงานปี 2565 มีรายได้จากการขายขยับขึ้นมาอยู่ที่ 678,267 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 465,128 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากระดับราคาขายที่ปรับตัวขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์ของธุรกิจโรงกลั่นในกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น
ประกอบกับกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Performance Chemicals) เพิ่มขึ้นจากการเริ่มรับรู้ผลการดาเนินงานของ allnex ในปีนี้ ซึ่งส่งผลให้ภาพรวมสัดส่วนรายได้กลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Performance Chemicals) ในปี 2565 เพิ่มขึ้นอย่างนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตามหากบริษัทไม่เจอรายการพิเศษเข้ามากดดันบริษัทคงมีผลงานดำเนินงานที่ดี เพราะในทุกผลิตภัณฑ์ของธุรกิจโรงกลั่นและกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ยังเติบโตแข็งแกร่ง
ด้านนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย และบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของ PTTGC ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาดว่าปี 2566 จะพลิกกลับมามีกำไร 2.05 หมื่นล้านบาท จากขาดทุนในปี 2565 เนื่องจากไม่มีการปิดซ่อมใหญ่ทั้งโรงกลั่น และโรงโอเลฟินส์ รวมถึงคาดไม่มี Stock loss ก้อนใหญ่
ขณะที่การเปิดประเทศของจีนที่เร็วกว่าคาดอาจกระตุ้นดีมานด์ปิโตรเคมีได้ดี ถือเป็น Positive surprise ในภาวะที่ยังมี supply ใหม่เข้ามาต่อเนื่อง ดังนั้นเชื่อว่าราคาหุ้นมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ แนะนำ “ซื้อ” PTTGC ราคาเป้าหมาย 68 บาท
นอกจากนี้ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุว่า คาดกำไรทั้งปี 2566 ของ PTTGC ฟื้นตัวจากขาดทุนหนักในปีก่อนจากรายการพิเศษ ขาดทุนจาก Hedging และอัตราแลกเปลี่ยน (FX) โดยเป็นผลจากสเปรดปิโตเคมีฟื้นตัวจากความต้องการในจีนฟื้นตัว และแนวโน้มของ Allnex ดีขึ้น
สำหรับในระยะยาว PTTGC มุ่งเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ High Value ให้สูงขึ้น ซึ่งจะสามารถลดความผันผวนของสเปรดของกลุ่ม Upstream& Intermediates ลงได้ ขณะที่ราคาเป้าหมาย 56.50 บาท
ด้าน Refinitiv consensus ประเมินผลการดำเนินงานในปี 2566 รายได้รายอยู่ที่ 6.17 แสนล้าน ขณะที่
กำไรสุทธิ 2.07 หมื่นล้านบาท
ขณะที่บริษัทกล่าวในปี 2566 แนวโน้มตลาดผลิตภัณฑ์ฟีนอลคาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ฟีนอล (P2F) จะอยู่ที่ 260-300 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยจะยังคงมีอุปทานใหม่เข้ามาในตลาด ขณะที่จะมีปัจจัยสนับสนุนจากกาลังการผลิตใหม่ใหม่ของผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องบิสฟีนอลเอเพิ่มขึ้นในตลาดเช่นเดียวกัน โดยคาดว่าอุปสงค์ของตลาดสินค้าปลายทางจะค่อยๆ ฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเปิดประเทศของประเทศจีนซึ่งจะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์และอุตสาหกรรมก่อสร้างในปี 2566
สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ตลาดของผลิตภัณฑ์โมโนเอทิลีนไกลคอล (MEG) และผลิตภัณฑ์กรดเทเรฟทาริคบริสุทธิ์ (PTA) บริษัทฯ คาดว่าราคา MEG จะอยู่ที่ 570-600 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยในปี 2565 และคาดว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ PTA จะทรงตัวในปี 2566 โดยสถานการณ์อุปสงค์ของภาคอุตสาหกรรมปลายทางได้รับปัจจัยสนับสนุนเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์พาราไซลีน
ขณะที่แนวโน้มสถานการณ์ตลาดเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนในปี 2566 บริษัทฯ คาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE จะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,150-1,200 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยจะยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์การใช้งานในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ และการเปิดประเทศของประเทศจีนซึ่งช่วยกระตุ้นอุปสงค์ กอปรกับอุปทานที่เข้ามาใหม่ในปีหน้ามีแนวโน้มลดลง แม้ว่าจะยังมีความไม่แน่นอนจากความกังวลทางเศรษฐกิจก็ตาม ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการใช้กาลังการผลิตของโรงโพลิเอทิลีนในปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 98 ในขณะที่แนวโน้มสถานการณ์ตลาดเม็ดพลาสติกโพลิเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) เป็นไปตามที่กล่าว
พร้อมกับแนวโน้มสถานการณ์ตลาดของผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ บริษัทฯ คาดว่าอุตสาหกรรมปลายทางหลัก อาทิ อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ อุตสาหกรรมก่อสร้างจะฟื้นตัวในปี 2566 โดยได้รับการสนับสนุนจากกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจีน ในขณะที่อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์น่าจะเติบโตตามการเติบโตของเศรษฐกิจ
ส่วนความคืบหน้าโครงการที่สำคัญที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ โครงการพลาสติกวิศวกรรมชั้นสูง โดยได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนได้แก่บริษัท คุราเร่ จีซี แอดวานซ์ แมททีเรียลส์ จำกัดโดยมีวัตถุประสงค์ในการดาเนินการผลิตและจาหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกวิศวกรรมชั้นสูงประเภท High HeatResistant Polyamide-9T (PA9T) กำ ลังการผลิตที่ 13,000 ตันต่ อปี แ ละ Hydrogenated Styrenic Block Copolymer (HSBC) กำลังการผลิตที่ 16,000 ตันต่อปี คาดว่าเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1/2566
รวมถึงโครงการปรับปรุงโรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 (Olefins 2 Modification Project) ซึ่งจะทาให้โรงโอเลฟินส์หน่วยที่ 2 ของบริษัทฯ สามารถใช้โพรเพนเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้เพิ่มขึ้น โดยโครงการดังกล่าวสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในการเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้วัตถุดิบและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว คาดว่าเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2/2566