BVG เทรดวันแรก ลุ้นวิ่งเป้า 5.70 บ. โบรกชี้กำไรปี 66 โต 31%
BVG ลงสนามเทรดวันแรก ลุ้นวิ่งทะลุ 3.85 บ. โบรกคาดกำไรปี 66 เติบโต 31% อยู่ที่ 75 ล้านบาท รับผลบวกจากอุตสาหกรรมประกันภัย และรายได้ส่วนเพิ่มจากธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยให้ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 5-5.70 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท บลูเวนเจอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BVG เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ หมวดอุตสาหกรรม กลุ่มเทคโนโลยี วันนี้ (17 กุมภาพันธ์ 2566 ) เป็นวันแรก
โดยมีทุนชำระแล้วหลัง IPO 225 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 360 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 90 ล้านหุ้น นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นเดิมจะนำหุ้นออกขาย 67.5 ล้านหุ้น แบ่งเป็นเสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัท 17.3 ล้านหุ้น บุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ 140.2 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 8-10 กุมภาพันธ์ 2566 ในราคาหุ้นละ 3.85 บาท คิดเป็นมูลค่าเสนอขาย 606.375 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,732.5 ล้านบาท
ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ 32.08 เท่า คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด ตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 ถึงไตรมาส 3/2565 ซึ่งอยู่ที่ 51.86 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.12 บาท โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ
สำหรับ BVG เป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) หรือ THRE ประกอบธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันสำหรับบริหารจัดการธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับประกันภัยรถยนต์ (ระบบ EMCS) และมีบริษัทย่อยที่ถือหุ้น 100% อีก 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท บลูเวนเจอร์ ทีพีเอ จำกัด ให้บริการบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลและสินไหมทดแทน รวมถึงการให้คำปรึกษาแนะนำที่เกี่ยวข้อง ผ่านแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน (บริการ TPA) และยังมี บริษัท บลูเวนเจอร์ แอคชัวเรียล จำกัด ให้คำปรึกษาด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย รวมถึง บริษัท บลูเวนเจอร์ เทค จำกัด ให้บริการนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
โดยปัจจุบัน BVG มีฐานลูกค้าที่เป็นบริษัทประกันภัยมากที่สุดในประเทศจำนวน 34 บริษัท มีส่วนแบ่งการตลาดในงวด 9 เดือนแรกปี 2565 อยู่ที่ 41.3% คำนวณจากจำนวนการเคลมประกันรถยนต์ผ่านระบบ EMCS เทียบกับประมาณการจำนวนการเคลมประกันรถยนต์ในประเทศไทย
ขณะที่งวด 9 เดือนแรกปี 2565 กลุ่มบริษัทมีโครงสร้างรายได้จากระบบ EMCS อยู่ที่ 42% และบริการ TPA อยู่ที่ 43% รวมถึงบริการอื่นและรายได้อื่น อยู่ที่ 15%
ด้าน นางนวรัตน์ วงศ์ฐิติรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BVG เปิดเผยว่า บริษัทให้บริการระบบ EMCS เป็นรายแรกและเป็นหนึ่งในผู้นำในประเทศไทย นอกจากมีฐานลูกค้าที่เป็นบริษัทประกันภัยมากที่สุดแล้ว ยังมีลูกค้าที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการเคลมประกันภัยรถยนต์กว่า 3,700 รายทั่วประเทศ อาทิ ศูนย์ซ่อมมาตรฐาน, อู่ซ่อมรถยนต์, ร้านอะไหล่, บริษัทสำรวจภัย, บริษัทรถยก และบริษัทประมูลซากรถ เป็นต้น ในส่วนบริการ TPA บริษัทครอบคลุมสถานพยาบาลเครือข่ายทั้งภาครัฐ และเอกชน รวมถึงคลินิกทั่วประเทศมากกว่า 500 แห่ง
ทั้งนี้ BVG มีเป้าหมายในการพัฒนาซอฟต์แวร์ และออกแบบนวัตกรรมเทคโนโลยีด้านประกันภัย ให้ครอบคลุมทุกกระบวนการของธุรกิจ เพื่อรักษาความเป็นผู้นำและเพื่อประโยชน์ของคู่ค้าที่เกี่ยวข้อง
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้ในการพัฒนาระบบ AI และระบบสารสนเทศขยายธุรกิจไปยังกลุ่มประเทศอาเซียน โดยการลงทุนหรือร่วมทุนกับบริษัทอื่น และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ
โดย BVG มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ บริษัท THRE ถือหุ้น 65% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ในแต่ละปี ภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองตามกฎหมายและทุนสำรองอื่น
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุว่า ฝ่ายวิจัยได้ประเมินราคาที่เหมาะสมของหุ้น BVG อยู่ที่ระดับ 5.70 บาทต่อหุ้น อ้างอิงจากค่ากลางของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มเทคโนโลยีของตลาดหลักทรัพย์ mai ซึ่งมีค่า PE อยู่ที่ 34 เท่า โดยเสนอขายหุ้นไอพีโอจำนวน 157.50 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 35% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว
โดยมีข้อได้เปรียบในระยะยาวจากประสบการณ์ฐานข้อมูลและจำนวนลูกค้า อีกทั้งมีศักยภาพในการเติบโตจากการนำเสนอบริการใหม่ๆ ด้วยระบบ AI รวมถึงการขยายตลาดการให้บริการไปยังต่างประเทศ
ทั้งนี้ ประเมินกำไรปี 2565 อยู่ที่ 57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 62% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน หลังจากกำไรงวด 9 เดือน ปี 2565 อยู่ที่ 45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรงวด 9 เดือน ปี 2565 คิดเป็นราว 79% ของประมาณการณ์กำไรทั้งปี ซึ่งมีปัจจัยหนุนหลักในปี 2565 มาจากรายได้รวมที่ดีขึ้นในส่วนของรายได้จากระบบ EMCS ภายใต้ BVG ฟื้นตัวขึ้นจากยอดเคลมประกันรถยนต์ ซึ่งสอดคล้องกับปริมาณการใช้รถยนต์ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงปีก่อนที่ยังมีการปิดเมือง
ขณะที่รายได้จากบริการ TPA ภายใต้ BVTPA ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าองค์กรทั่วไปที่บริหารจัดการสวัสดิการพนักงานด้วยตนเอง (Self-insured)
สำหรับแนวโน้มในปี 2566 ฝ่ายวิจัยคาดกำไรอยู่ที่ 75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 31% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และในปี 2567 แนวโน้มกำไรอยู่ที่ 102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากภาพรวมธุรกิจคาดว่าจะยังได้รับผลบวกจากการเติบโตของอุตสาหกรรมประกันภัย ทั้งประกันภัยรถยนต์และประกันสุขภาพ ขณะที่ในแง่จำนวนการเคลมประกันรถยนต์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่ยังมีการปิดเมืองในช่วงต้นปีด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้กลุ่มบริษัทยังมีแผนจะขยายฐานลูกค้า โดยในส่วนลูกค้าที่ใช้บริการระบบ EMCS จะมีการขยายฐานคู่ค้า อาทิ ศูนย์บริการ อู่ซ่อม และคู่ค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการซ่อมรถยนต์ และในส่วนลูกค้าที่ใช้บริการ TPA จะมีการขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าองค์กรทั่วไปที่บริหารจัดการสวัสดิการพนักงานด้วยตนเอง (Self-insured) อย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งกลุ่มบริษัทยังมีแผนจะลงทุนในระบบ AI ต่างๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจและเพิ่มช่องทางการสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ ระบบ AI Inspection และ Garage Lending ภายใต้ BVG และระบบ Optical Character Recognition, AI Claim Assessment Automation และ TPA Evo Revolution II ภายใต้ BVTPA เป็นต้น
ส่วนกลุ่มบริษัทยังมีแผนจะขยายธุรกิจไปยังกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเริ่มที่ประเทศกัมพูชาที่มีแผนการจัดตั้ง Joint Venture ระหว่างบริษัท และบริษัทรับประกันภัยต่อรายหนึ่งของกัมพูชา เพื่อให้บริการ TPA และโอกาสการลงทุนในประเทศอื่นๆ อาทิ เวียดนาม และ ฟิลิปปินส์ เป็นต้น
ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ประเมินราคาราคาเป้าหมายของ BVG ปี 2566 อยู่ที่ 5.00 – 5.40 บาทต่อหุ้น โดยระบุว่า BVG มี 4 ปัจจัยสำคัญช่วยสนับสนุนได้แก่ (1) เป็นผู้นำด้านการให้บริการระบบ EMCS และ TPA ที่ได้รับการยอมรับจากบริษัทประกัน
(2) มี Barriers to Entry จากเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศที่ใช้ระบบ EMCS และบริการ TPA ทำให้การเปลี่ยนไปใช้ระบบแพลตฟอร์มอื่นมีต้นทุนการพัฒนาระบบที่สูง ส่งผลให้ลูกค้าใช้บริการกับบริษัทระยะยาว (3) ผลการดำเนินงานกลับมาเติบโตแข็งแกร่งจากการเปิดประเทศหลังโควิด-19 คลี่คลาย
(4) โอกาสในการเติบโตทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ และประเมินกำไรสุทธิปี 2566 เพิ่มขึ้นราว 31% อยู่ที่ 76 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยหนุนโดย (1) จำนวนการเคลมที่เพิ่มมากขึ้นหลังการเปิดเมือง และ (2) รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากบริการใหม่ๆ เช่น AI ช่วยพิจารณาสินไหมทดแทนสำหรับบริษัทประกันภัย อีกทั้งบริษัทมีแผนการลงทุนในอนาคต โดยเป็นโครงการที่จะเริ่มดำเนินการในช่วงระหว่างปลายปี 2565 ถึงปี 2568
นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า BVG เป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม และแอปพลิเคชั่นในด้าน EMCS และ TPA ระดับแนวหน้าของไทย โดยจุดแข็งของธุรกิจ EMCS ได้แก่ 1) การให้บริการโซลูชั่นแบบ End-to-end ในขณะที่บริการของคู่แข่งบางรายจำกัดอยู่เพียงบางบริการเท่านั้น
2) เข้าใจลูกค้าเป็นอย่างดีจากประสบการณ์กว่า 20 ปี และ 3) มีเครือข่ายที่แข็งแกร่งในประเทศไทย โดยมีพันธมิตรในฐานข้อมูลมากกว่า 3,700 ราย เช่น อู่ซ่อมรถ และผู้จำหน่ายอะไหล่รถ สำหรับธุรกิจ TPA บริษัทก็ให้บริการโซลูชั่นแบบ End-to-end เช่นกัน และมีเครือข่ายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยจากเครือข่ายที่แข็งแกร่งและบริการที่สร้างมูลค่าเพิ่ม อย่างเช่น Big Data และ AI
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยเชื่อว่า BVG จะสามารถรักษาลูกค้าเดิมเอาไว้ได้ และมีแนวโน้มเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้ในช่วงที่ประมาณการไว้
ทั้งนี้ ประเมินราคาที่เหมาะสมปี 2566 ไว้ที่ 5.20 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่ากำไรปกติของบริษัทอีกสามปีข้างหน้าจะเติบโตเฉลี่ย 18% (CAGR) ในปี 2569 โดยปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญได้แก่ 1) คาดรายได้รวมเติบโตเฉลี่ย 12% (CAGR) โดยมีปัจจัยผลักดันจากธุรกิจประกันภัยในประเทศไทยที่โตปีละ 5-6% และรายได้ส่วนเพิ่มจากธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ 2) EBIT Margin ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการประหยัดต่อขนาด
อย่างไรก็ตาม BVG ออกบริการ AI Review อย่างเป็นทางการตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 โดยรายได้จากกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จาก 0.9 ล้านบาทในไตรมาส 4/2564 คิดเป็น 0.5% ของรายได้ EMCS เป็น 11.9 ล้านบาทในงวด 9 เดือน ปี 2565 อยู่ที่ 8.7% ของรายได้ EMCS โดยฝ่ายวิจัยคาดว่ารายได้จากธุรกิจ AI จะช่วยสนับสนุนการเติบโตแบบ S-curve ของธุรกิจ EMCS ในช่วงที่ประมาณการ