PTG เร่งสัดส่วน “นอนออยล์” ปีนี้โต 25% รุกหนักกาแฟพันธุ์ไทย-ออโต้แบคส์
PTG ตั้งงบลงทุนปีนี้นอนออยล์ 2,500 ล้านบาท รุกหนักร้านกาแฟพันธุ์ไทยเป้าปีนี้ 1,500 สาขา ธุรกิจออโต้แบคส์ อย่างน้อย 50 สาขา ปรับลดงบออยล์เหลือ 1,500 ล้านบาท หวังรีบเร่งสัดส่วนรายได้ภายในปี 68 ใหม่ให้นอนออยล์ 60% ธุรกิจน้ำมัน 40% พร้อมมั่นใจปีนี้ธุรกิจน้ำมันเติบโตแกร่งอานิสงส์ค่าการตลาดเพิ่ม
นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า บริษัทฯยังคงเดินหน้าจัดกิจกรรม CSR ไตรมาสละ 1 ครั้ง ซึ่งจะทำต่อเนื่องในภายใต้โครงการ “PT ค่ายอาสา ทำจริงไม่ทิ้งกัน” สร้างสรรค์กิจกรรมสาธารณะประโยชน์ต่อชุมชน สังคม การศึกษา และสิ่งแวดล้อม เพื่อชุมชนอยู่ดีมีสุข
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยค่าการตลาดกลับมาเป็นธรรมมากขึ้นให้กับในส่วนของผู้ผลิตหลังจากถูกกดดันจากกลไกลราคาน้ำมันโลกในช่วงก่อนหน้าจนทำให้เกิดการไม่สมดุลทางรัฐบาลเลยเข้ามาดูแลในการช่วยเหลือประชาชนจึงทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการ จนล่าสุดราคาน้ำมันโลกปรับตัวลง รวมถึงไฟฟ้าเริ่มนำก๊าซธรรมชาติกลับมาใช้ปกติ ทำให้ภาวะซัพพลายเริ่มคลี่คลายอาจมีความชัดเจนในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.
ผลดังกล่าวจึงทำให้รัฐบาลมีการคลี่คลายภาคค่าการตลาดลงโดยไปลดของตัวดีเซลลงมา ซึ่งเลยเป็นผลดีต่อบริษัท PTG ในส่วนของผู้ค่าน้ำมันจึงได้รับอานิสงส์ สำหรับค่าการตลาดล่าสุดรัฐบาลให้อยู่ที่ 1.80 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตามคาดว่าทางรัฐยังคงมีการปรับตัวขึ้นไปอีก ซึ่งคาด PTG ปีนี้เติบโตค่อนข้างดี โดยเฉพาะในเชิงปริมาณที่ดีมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาแต่มีค่าการตลาดกดดันเท่านั่นเอง แต่ในแง่ของการเติบโตในช่วงไตรมาส 4/65 เติบโตดีเกินเป้าหมาย ส่งผลให้ภาพรวมทั้งปี 65 เติบโตตามเป้าหมายขั้นต่ำราว 6% และคาดว่าปีนี้ธุรกิจด้านน้ำมันจะเติบโตกว่า 6%
นายรังสรรค์ กล่าวอีกว่า เชื่อว่าผู้ประกอบการน้ำมันจะมีการเจรจาขอปรับขึ้นค่าการตลาดอีกต่อไปหลังจากเงินเฟ้อยังสูง ซึ่งคาดว่าอาจมีการพูดคุยกับรัฐบาลได้ในช่วงไตรมาส 2 นี้ เพราะความน่าจะเป็นของค่าการตลาดเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อควรไปอยู่บริเวณเฉลี่ย 2.30 บาท/ลิตร
สำหรับในแง่ปริมาณการขายน้ำมันของ PTG ในส่วนของอุปทานไม่เป็นสองรองใคร โดยปีนี้บริษัทมีการตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโตประมาณ 8-12 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของร้านกาแฟพันธุ์ไทยในปีนี้จะเติบโตเลข 2 หลัก รวมถึงธุรกิจออโต้แบคส์เติบโตแกร่งเช่นกัน
ส่วนธุรกิจรถไฟฟ้าของ PTG ที่มี 35 สาขาที่เป็นตัวดีซีชาร์จเนอร์สามารถรองรับเหนือจรดใต้แล้ว และอัดตราชาร์จถือว่าไม่สูงมากนักจึงไม่มีความกังกลว่าจะมีการชาร์จไม่เพียงพอโดยจึงยังไม่จำเป็นที่ต้องขยาย แม้ว่าธุรกิจรถไฟฟ้าจะมาเร็วมากก็ตาม แต่ยังไม่แรงพอเนื่องจากยอดในแต่ละงานขายรถยังไม่เกิน 1 หมื่นคัน ทั้งนี้ทาง PTG ก็ไม่ได้ทิ้งในส่วนของธุรกิจรถไฟฟ้าไปอย่างใด
นอกจากนี้บริษัทยังมีการลงทุนทางด้านโลจิสติกส์ ทางด้านรีเทล ทางด้านเฮ้ว ทางด้านพลังงานสะอาด และทางด้าน ดิจิตอล โดยทุกธุรกิจบริษัทจะนำดิจิตอลมาซัพพอร์ตให้มากขึ้นเพื่อลดการใช้แรงงาน เพราะประเทศไทยมีปัญหาด้านแรงงานในอนาคตนั้นเอง เนื่องจากบริษัทยังเน้นการให้บริการเป็นหลักอยู่
ทั้งนี้ในส่วนของธุรกิจร้านกาแฟพันธุ์ไทยปัจจุบันมีจำนวน 560 สาขา แต่ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะขยายให้ได้ 1,500 สาขา โดยจะเน้นขยายออกนอกจากปั้มน้ำมันให้มากขึ้นอย่าง ออฟฟิศ เส้นทางหลักออฟฟิศบิวดิ้ง และเป็นรถให้มากขึ้นเพื่ออย่างให้ประชาชนรู้ถึงแบรนด์ ส่วนธุรกิจออโต้แบคส์จะมีการขยายสาขาในปีนี้เพิ่มขึ้นโดยตั้งเป้าไว้อย่างน้อย 50 สาขา แต่อย่างน้อยไม่กว่า 30 สาขาให้ได้
อย่างไรก็ตามเงินลงทุนในส่วนสถานีบริการลดลงปีนี้ตั้งไว้ที่ 1,500 ล้านบาท แต่ในส่วนของนอนออยล์ ร้านกาแฟพันธุ์ไทย ออโต้แบคส์ ตั้งเป้าปีนี้ไว้ 2,500 ล้านบาท อย่างไรก็ตามเมื่อค่าการตลาดดีขึ้น ก็จะทำให้ด้านกระแสเงินสดของบริษัทในปีนี้น่าสามารถขยายการลงทุนได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ในส่วนของโซลาร์รูฟที่ติดในสถานีปั้มน้ำมันในเฟสแรกสามารถช่วยลดค่าไฟฟ้าของสถานีนั่นๆ ได้มากขึ้น ซึ่งบริษัทเตรียมเฟส 2 ต่อไป เพราะสามารถโดยไปถึงเรื่องของคาร์บอนเครดิตเพราะบริษัทตะหนักในเรื่องดังกล่าว โดยบริษัทเริ่มให้องค์กรที่เกี่ยวข้องเข้ามารับรองแล้ว สำหรับการติดตั้งโซลร์รูฟปีนี้เริ่มติดตั้งไปแล้ว 20 สถานี แต่คาดว่าทั้งปีราว 60 สถานี ซึ่งรวมแล้วจะได้ไฟฟ้าประมาณ 3 เมกะวัตต์ จากเดิมได้อยู่ประมาณ 1 เมกะวัตต์กว่า เพราะอย่างไรปั้มใหม่ๆที่สร้างขึ้นมาพร้อมติดตั้งโซลาร์รูฟไปอยู่แล้ว
ด้านความคืบหน้าของ PPA ล็อตใหม่ สำหรับโรงไฟฟ้าขยะคิดว่าน่าจะออกมาในช่วงกลางเดือนมี.ค. 66 เพราะมีการประกาศล็อตแรกออกมาแล้วซึ่งทางของ PTG ได้มีการนำเอกสารกลับมาแก้ไขแล้วส่งกลับไปใหม่แล้วโดยคาดว่าการประกาศครั้งที่ 2 จะเข้าเกณฑ์โดยคาดว่าจะได้ประมาณ 4.5 เมกะวัตต์
ส่วนความคืบหน้าของการสวอปบริษัทลูกเข้าตลาด โดยมีบริษัท พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ จำกัด ดำเนินโครงการปาล์มคอมเพล็กซ์ ซึ่งอยู่ระหว่างรออนุมัติไฟลิ่งจากสำนักงานก.ล.ต. และบริษัท แอตลาส เอ็นเนอร์ยี่ จำกัดทำธุรกิจจำหน่ายก๊าซ LPG อยู่ระหว่างการยื่นไฟลิ่งกับก.ล.ต. คาดว่าเร็วๆนี้ สำหรับบริษัท สยามออโต้แบคส์ จำกัด คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งอีกประมาณ 1-2 ปีข้างหน้า และ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด ก็เตรียมในการที่จะยื่นไฟลิ่งเช่นเดียวกันประมาณปี 67-68
“ทั้งนี้สัดส่วนโครงสร้างรายได้ปีนี้โดยคาดว่าส่วนของน้ำมันจะเติบโตราว 45-50% เนื่องจากยอดขายน้ำมันมีการเติบโตมากและได้มีการปรับค่าการตลาดขึ้นด้วย รวมถึงต้นทุนค่าน้ำมันที่ปรับตัวลงจากราคาน้ำมันโลกปรับลงต่ำกว่า 95 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ธุรกิจนอนออยล์เติบโตราว 45-50% และปรับในสัดส่วนของกำไรปีนี้เติบโต 20-25% นอกจากนี้มีการตั้งเป้าสัดส่วนการเติบโตของรายได้ภายในปี 68 นอนออยล์ให้เป็น 60% ฟากฝั่งธุรกิจน้ำมันอยู่ 40%” นายรังสรรค์ กล่าว