CHASE ตั้งเป้าซื้อหนี้พันล้าน ดันกำไรปี 66 โต 30%

ไอพีโอน้องใหม่ CHASE นำหุ้นเข้าเทรด SET วันแรก นักลงทุนตอบรับคึกคัก มั่นใจธุรกิจโตแกร่ง เตรียมดันกำไรสูงกว่า 30% ภายในสิ้นปี 66 เดินเครื่องลุยซื้อ NPLs ปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ยกระดับบริการเร่งรัดติดตามหนี้สินสู่กลุ่ม Non-bank


บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ CHASE บริษัทชั้นนำที่ให้บริการติดตามทวงถามและบริหารหนี้เสีย (AMC) ฉลองเปิดเทรดวันแรกที่ราคา 3.52 บาท เพิ่มขึ้น 0.62 บาท หรือ 21.38% จากราคา IPO ที่ 2.90 บาท ต่อหุ้น สะท้อนความมั่นใจจากนักลงทุนที่มีต่อพื้นฐานแข็งแกร่งและศักยภาพการเติบโตของ เชฎฐ์ เอเชีย มุ่งต่อยอดเงินทุนจากการระดมทุน เดินเครื่องลุยซื้อ NPLs ปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท และเตรียมยกระดับบริการการติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้สินสู่กลุ่มผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) พร้อมย้ายสำนักงานใหญ่เพื่อรองรับการขยายตัวของพนักงานที่เข้ามาเสริมทัพ ตั้งเป้ารายได้การเติบโตกว่าปี 2565 อยู่ที่ 15% และคาดว่ากำไรสุทธิเติบโตขึ้นกว่า 30% ภายในสิ้นปี 2566

นายประชา ชัยสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ CHASE เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านที่ไว้วางใจและเชื่อมั่นในศักยภาพของ เชฎฐ์ เอเชีย หลังจากเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นวันแรก บริษัทได้รับการตอบรับที่ดีมาก จนทำให้ราคาหุ้นแตะอยู่ที่ระดับ 3.52 บาท พุ่งสูงกว่า 21.38% จากราคา IPO 2.90 บาท โดยจะนำเงินทุนที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ไปต่อยอดการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการเดินหน้าซื้อ NPLs ปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท และมุ่งเน้นไปที่สินเชื่อแก่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Loan) ซึ่งอยู่ในความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ ได้เริ่มเข้าไปประมูลซื้อ NPLs จากสถาบันการเงินชั้นนำแล้ว และเตรียมขยายบริการการติดตามทวงถามและเร่งรัดหนี้สินให้ครอบคลุมยิ่งขึ้นสู่กลุ่ม Non-bank

ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายปัจจัยหนุนที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของ เชฎฐ์ เอเชีย ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายนอก ได้แก่ อุตสาหกรรม AMC ที่ไม่เจอกับการดิสรัปชัน ซึ่งเทคโนโลยีใหม่ๆ จะยิ่งช่วยให้ เชฎฐ์ เอเชีย ทำงานได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับในสถานการณ์ปัจจุบันที่มี NPLs ล้นตลาด จึงเป็นจังหวะที่ดีของผู้ให้บริการติดตามทวงถามและบริหารหนี้เสียในการระดมเงินทุนเพื่อนำไปพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานเชิงรุกของบริษัทฯ ได้ทันทีและอย่างไร้ข้อจำกัด ในขณะเดียวกัน อีกทั้งบริษัทยังมีปัจจัยภายในที่เสริมความแข็งแกร่งให้เติบโตอย่างเต็มศักยภาพ ทั้งทีมผู้บริหารและพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านการเงินและกฎหมาย รวมถึงมีประสบการณ์อยู่ในวงการมาอย่างยาวนานกว่า 25 ปี

นอกจากนี้ ด้วยขนาดของบริษัทฯ ในปัจจุบันที่ไม่ใหญ่มากนัก ส่งผลให้บริษัทฯ มีโอกาสในการขยายตัวและเติบโตอย่างก้าวกระโดดยิ่งไปกว่านั้นด้วยประสิทธิภาพการทำงานและศักยภาพของ เชฎฐ์ เอเชีย ที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ทำให้บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะขยายธุรกิจให้ครบวงจรยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งสิ่งนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงศักยภาพของ เชฎฐ์ เอเชีย ที่สามารถเติบโตได้อย่างไม่หยุดยั้งในอนาคต

ทั้งนี้ นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยินดีกับความสำเร็จในก้าวแรกของ เชฎฐ์ เอเชีย สำหรับการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นวันแรก และทาง อาร์เอส กรุ๊ป จะยังคงสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ 20.35% ซึ่งจะเป็นการถือหุ้นในระยะยาวในฐานะ Strategic Shareholder ด้วย เล็งเห็นศักยภาพและเชื่อมั่นในการเติบโตในอนาคตของ เชฎฐ์ เอเชีย โดยก่อนหน้านี้ก็มีการทำงานร่วมกันอย่างหนักเพื่อขยายระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) ร่วมกัน

ดังนั้น การลงทุนในครั้งนี้ อาร์เอส กรุ๊ป ให้ความสำคัญกับการสร้างพันธมิตรร่วมกับ เชฎฐ์ เอเชีย ในการวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจต่างๆ ซึ่งรวมถึงการทำ Joint Venture เพื่อร่วมกันผสานศักยภาพและสร้างการเติบโตร่วมกัน พร้อมผลักดัน เชฎฐ์ เอเชีย ให้เติบโตก้าวกระโดดขึ้นไปอีกขั้น

สำหรับผลประกอบการเงินงวด 9 เดือนของปี 2565 โดย เชฎฐ์ เอเชีย เป็นผู้เล่นที่มีความสามารถในการทำกำไรที่ดีจากอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม (ROA) อยู่ที่ 6.0% และมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ระดับ 8.2% ซึ่งแสดงถึงประสิทธิภาพในการทำกำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ (ROA, ROE เฉลี่ยอุตสาหกรรมระดับ 5% และ 8.4% ตามลำดับ) ในขณะที่หลัง IPO จะเป็นโอกาสของ เชฎฐ์ เอเชีย ใช้เงินเพิ่มทุน

อีกทั้งด้วยระดับ D/E Ratio ของ เชฎฐ์ เอเชีย ที่ยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.4 เท่า ยิ่งเป็นโอกาสในการเข้าประมูลสินทรัพย์เพิ่มเติมเพื่อขยายฐานรายได้ และช่วยผลักดันประสิทธิภาพในการทำกำไรสูงขึ้น ทั้งนี้ค่า P/E ของ เชฎฐ์ เอเชีย ณ ราคา IPO อยู่ที่ 27.18 ซึ่งยังอยู่ในระดับต่ำกว่า P/E ของกลุ่มอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ในระดับ 39 เท่า

Back to top button