“4 หุ้นหมู-ไก่” งบโตกระฉูด จับตา CPF อวดกำไร 1.26 หมื่นล้าน
“4 หุ้นหมู-ไก่” กำไรปี 65 กระฉูด TFG โชว์ผลงานปี 65 ทำนิวไฮ กำไรสุทธิ 4,722 ล้านบาท โต 741% ขณะที่ GFPT อวดปี 65 กำไรสุทธิ 2,044.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 876.61% จับตา CPF แจ้งงบ 27 ก.พ.นี้ ลุ้นกำไร 12,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 950% และ BTG คาดเบ่งกำไรปี 65 สูง 8,081 ล้านบาท เติบโต 896%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจผลการดำเนินงานปี 2565 ของหุ้นหมู-ไก่ 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF, บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG, บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT และบริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG พบว่า มีการรายงานตัวเลขรายได้และกำไรสุทธิเติบโตโดดเด่น ตามราคาขายหมูและไก่ที่เพิ่มขึ้นในช่วงปี 2565 ที่ผ่านมา
นายวินัย เตียวสมบูรณ์กิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TFG เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2565 ทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ) บริษัทมีกำไรสุทธิ 4,722 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 741% จากปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 562 ล้านบาท และมีรายได้รวม 52,697 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% จากปี 2564 ที่มีรายได้รวม 35,503 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง บวกกับความต้องการ (ดีมานด์) หมู และไก่ที่เพิ่มขึ้น หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ทำให้ทั่วโลกคลายล็อกดาวน์ อีกทั้งยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาที่เพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติจ่ายปันผลจากงวดผลการดำเนินงานในปี 2565 เป็นเงินสด ในอัตรา 0.30 บาทต่อหุ้น มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (Yield) จากเงินปันผลสูง 5.5% (จ่ายระหว่างกาล 0.10 บาท คิดเป็น Yield เงินปันผลรวม 7.3%) โดยจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดสิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 8 พ.ค. 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 พ.ค. 2566
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15% จากปี 2565 โดยเตรียมขยายตลาดลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อเพิ่มยอดขาย นอกเหนือจากโมเดลธุรกิจในส่วนของธุรกิจค้าปลีกที่จะกลายเป็นอีกแรงสนับสนุนให้ภาพรวมเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้
อย่างไรก็ตามในปี 2566 บริษัทจะให้ความสำคัญกับการขยายฐานธุรกิจค้าปลีกภายใต้แบรนด์ “ร้านไทย ฟู้ดส์ เฟรช มาร์เก็ต” มากขึ้น เพื่อเพิ่มมาร์จิ้น โดยมีแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มเป็น 400 สาขาภายในปีนี้ (จากสิ้นปี 2565 มีประมาณ 220 สาขา) เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า
ขณะที่ในปี 2566 บริษัทเตรียมงบลงทุนประมาณ 3,000–3,500 ล้านบาท เพื่อรองรับแผนขยายโรงงานผลิตอาหารสัตว์และฟาร์มเลี้ยงหมูในประเทศเวียดนาม และ เสริมศักยภาพธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่ในประเทศเวียดนาม รวมถึงการขยายสาขาในส่วนของธุรกิจค้าปลีก ตลอดจนปรับปรุงธุรกิจในส่วนต่าง ๆ หวังเสริมศักยภาพของการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต
ด้านภาพรวมธุรกิจไก่ และหมูของบริษัทในปี 2566 ยังดีต่อเนื่อง จากปัญหาการขาดแคลน ซึ่งทำให้แนวโน้มราคาหมู และไก่จะยืนสูงต่อเนื่อง อีกทั้งได้รับปัจจัยหนุนจากจากการขยายกำลังการเลี้ยงหมูในไทยและเวียดนามที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งเน้นขายไก่ไปสู่ช่องทางที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางการส่งออกไก่สู่ต่างประเทศ สนับสนุนให้รายได้รวม และประสิทธิภาพการทำกำไรดีต่อเนื่อง
นายแพทย์อนันต์ ศิริมงคลเกษม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,044.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 876.61% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 209.34 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายรวม 18,222.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.23% จากปีก่อนที่มีรายได้จากการขายรวม 13,780.57 ล้านบาท
โดยสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการขายรวมที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรายได้จากธุรกิจอาหารแปรรูปจากเนื้อไก่ ซึ่งส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากรายได้จากการส่งออกไก่แปรรูปที่เพิ่มขึ้น จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของไลน์การผลิตไก่แปรรูปปรุงสุก นอกจากนี้ ความสามารถในการทำกำไร เช่น อัตรากำไรขั้นต้น, อัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin) อัตรากำไรสุทธิยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 และมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้นด้วย
ด้านที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 มีมติจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานปี 2565 (1 มกราคม-31 ธันวาคม 2565) เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 7 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 เมษายน 2566
ขณะที่จับตาบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF เตรียมจะประกาศผลการดำเนินงานปี 2565 ภายในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2566 โดยบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น CPF โดยปรับราคาเป้าหมายใหม่เพิ่มเป็น 32.80 บาท จากเดิมที่ประเมินไว้ 32.40 บาท คาดกำไรปกติปี 2565 ไว้ที่ 12,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 950% จากปี 2564 อยู่ที่ 1,200 ล้านบาท และคาดการณ์จะจ่ายเงินปันผลในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 อีกหุ้นละ 0.45 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนครึ่งปี 2% หลังครึ่งปีแรกของปี 2565 จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปหุ้นละ 0.40 บาท เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2565
โดยฝ่ายวิเคราะห์ประเมินกำไรปกติในไตรมาส 4/2565 ไว้ที่ 3,050 ล้านบาท ลดลง 45% จากไตรมาสก่อน ตามผลของฤดูกาลและราคาเนื้อสัตว์ชะลอ แต่ฟื้นตัวสูงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุน 4,490 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิคาดว่าจะลดลง 55% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานสูงในไตรมาส 4/2564 ที่มีกำไรพิเศษจากการแลกหุ้นบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO
อย่างไรก็ตาม แม้ราคาหมูและไก่ในปี 2566 มีแนวโน้มลดลงจากฐานสูงในปีก่อน แต่การฟื้นตัวของอุปสงค์จากการเปิดประเทศ ปริมาณหมูยังคงขาดแคลน และการส่งออกไก่เพิ่มขึ้น คาดว่าจะหนุนให้ราคาเนื้อสัตว์ในประเทศยังอยู่ในระดับสูง ส่วนราคาหมูในเวียดนามและจีนคาดว่าได้ผลบวกจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้น จึงคาดอัตรากำไรขั้นต้นปี 2566 ลดลง 84 bps เป็น 13.4% จากราคาเนื้อสัตว์ที่ลดลง แต่จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นและการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน รวมทั้งส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น จะหนุนให้กำไรปี 2566 เติบโตได้ 16%
นอกจากนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ยังได้ประเมินว่าส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น 58% เป็น 5,700 ล้านบาท จากการเติบโตของบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ขณะที่ HyLife มีแนวโน้มขาดทุนลดลงหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจ และธุรกิจในประเทศจีน (CTI) จะฟื้นตัวขึ้นจากราคาหมูที่ฟื้นตัว
ส่วนบริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG คาดจะประกาศผลการดำเนินงานปี 2565 ภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 โดยบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด แนะนำ “ซื้อ” BTG ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 48 บาทต่อหุ้น หลังประเมินผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2565 กำไรจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 เนื่องจากในไตรมาส 4/2565 ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มยังทรงตัวอยู่ที่ 100 บาทต่อกิโลกรัม (ขายจริงอาจสูงกว่า) ขณะที่ราคาไก่หน้าฟาร์มอ่อนตัวลงมาจาก 45-47 บาทต่อกิโลกรัมในไตรมาส 3/2565 เหลือราว 43-44 บาทต่อกิโลกรัม แต่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งคาดว่าเป็นการลดลงจากไฮซีซั่นของการส่งออกในไตรมาส 3/2565
นอกจากนี้ ประเมินกำไรปี 2565 ของ BTG ไว้ที่ 8,081 ล้านบาท เติบโต 896% เมื่อเทียบกับปี 2564 และประเมินกำไรปี 2566 ไว้ที่ 8,440 ล้านบาท เติบโต 4.4% เมื่อเทียบกับปี 2565 เนื่องจากคาดว่าราคาหมูจะยังสูงต่อเนื่อง ตามการเพิ่มกำลังการผลิตหมูอาจต้องใช้เวลาไปจนถึงปี 2567 แต่อาจเห็นกำลังการผลิตไก่เพิ่มขึ้น ทำให้ราคาไก่อ่อนตัวลงมาได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีการเพิ่มกำลังการผลิตอาหารสัตว์ และขยายฟาร์มสุกร และโรงเชือดสุกร ทำให้ช่วยชดเชยผลกระทบได้
ขณะที่บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ประเมินราคาเป้าหมายของ BTG สิ้นปี 2566 อยู่ที่ 46 บาทต่อหุ้น หลังคาดแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2565 จะมีกำไรสุทธิ 8,043 ล้านบาท และประเมินผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2565 กำไรปกติจะเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากความสามารถในการทำกำไร (มาร์จิ้น) ที่กว้างขึ้นจากการขึ้นราคาขายผลิตภัณฑ์ได้เร็วกว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และปริมาณการขายที่สูงขึ้น แต่กำไรจะลดลงจากไตรมาส 3/2565 เนื่องจากปัจจัยฤดูกาล
ส่วนในปี 2566 ประเมินกำไรสุทธิไว้ที่ระดับ 8,246 ล้านบาท เป็นไปตามการขยายตัวของยอดขาย และสามารถควบคุมต้นทุนได้ดี โดยประเมินผลการดำเนินงานของปี 2566 กำไรปกติจะเติบโตได้ 9% เมื่อเทียบกับปี 2565 เนื่องจากยอดขายที่สูงขึ้นตามการขยายกำลังการผลิต และการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ได้ดีขึ้นมากพอที่จะชดเชยอัตรากำไรขั้นต้นที่อ่อนตัวลง