DUSIT ไตรมาส 4/65 กวาดรายได้ทะลุ 1.7 พันล้าน นิวไฮรอบ 3 ปี

DUSIT ไตรมาส 4/65 โกยรายได้ 1,723 ลบ. นิวไฮรอบ 3 ปี กางแผนปี 66 ขยายธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท เพิ่มขึ้นอีก 14 แห่ง มั่นใจปัจจัยหนุนจากการท่องเที่ยวและแผนรุกขยายโรงแรมในต่างประเทศดันเติบโตต่อเนื่อง


นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า ไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 เป็นไตรมาสที่บริษัทฯ มีรายได้รวมรายไตรมาสสูงที่สุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อยู่ที่ 1,723 ล้านบาท โดยเป็นการเติบโตจากการประกอบธุรกิจหลักทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจการศึกษา ธุรกิจอาหาร และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับบริษัทฯ มีรายได้อื่นเพิ่มขึ้น (กำไรจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนและกำไรจากการขายที่ดิน) ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 46 ล้านบาท พลิกกลับมาเป็นบวกจากผลขาดทุนในช่วงหลายไตรมาสก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตามหากไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นไม่ประจำแล้ว ภาพรวมของผลการดำเนินงานดีขึ้น โดยมีผลขาดทุนสุทธิลดลงมาอยู่ที่  107 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิที่ 109 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิที่ 303 ล้านบาท

“ในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 ยังเป็นไตรมาสที่บริษัทฯ มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ 446 ล้านบาท และหากไม่รวมรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ เรามี Core EBITDA เป็นบวกติดต่อกันถึง 5 ไตรมาส ซึ่งถือว่าน่าพอใจมาก และเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่า ธุรกิจท่องเที่ยวและบริการในปีที่ผ่านมาสามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่กลุ่มดุสิตธานีเตรียมพร้อมรับมือกับการกลับมาของการท่องเที่ยวอย่างกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราไม่พลาดโอกาสที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นตัวของกิจกรรมการเดินทางและสามารถรับปัจจัยบวกนี้ได้อย่างเต็มที่” นางศุภจี กล่าว

ทั้งนี้ในปี 2565 ธุรกิจโรงแรมของบริษัทฯ มีการฟื้นตัวที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากการยกเลิกข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศ การเดินทางที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่ไม่ได้ท่องเที่ยวเป็นเวลานาน (revenge travel) โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว และมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากกว่าที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดไว้ ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตราการเข้าพักและรายได้เฉลี่ยต่อห้องเพิ่มขึ้นโดยเห็นได้ชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี และทำให้รายได้ธุรกิจโรงแรมของบริษัทฯ ในปี 2565 กลับมาที่ระดับ 85% ของรายได้ธุรกิจโรงแรมในปี 2562 ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นการกลับมาของรายได้ที่ดีกว่าประมาณการของบริษัทฯ ที่มีสมมติฐานไว้ที่ 75% ของรายได้ธุรกิจโรงแรมปี 2562

ขณะที่ธุรกิจอาหารเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากการทยอยกลับมาให้บริการปกติของธุรกิจให้บริการจัดหาอาหารแก่โรงเรียนนานาชาติและจากธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจเบเกอรี่ที่บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนในช่วงปลายไตรมาส 2 ของปี 2565 เช่นเดียวกับธุรกิจการศึกษา ที่มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการกลับมาเรียนตามปกติ (on-site) มากขึ้น

โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,130 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 49 จากปี 2564 ซึ่งการฟื้นตัวของธุรกิจหลักดังกล่าว ทำให้ในปี 2565 บริษัทฯ มี EBITDA 864 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 67.8 จากปี 2564 ขณะที่บริษัทฯ มีขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 501 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลขาดทุนที่ลดลงจาก 945 ล้านบาทในปี 2564 และหากไม่รวมรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานจากการประกอบธุรกิจหลักที่ดีขึ้น โดยมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 595 ล้านบาท ขาดทุนลดลงเมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิ 1,204 ล้านบาทในปี 2564

สำหรับปี 2566 กลุ่มดุสิตธานีมีแผนที่จะขยายธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท เพิ่มขึ้นอีก 14 แห่ง รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,700 ห้อง ใน 7 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมทั้งในเอเชียและยุโรป รวมถึงประเทศไทย ซึ่งจะทำให้พอร์ตโฟลิโอทั่วโลกของกลุ่มดุสิตในปีนี้ มีโรงแรมรวมกันทั้งหมด 62 แห่ง หรือประมาณ 13,700 ห้อง ใน 17 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งยังมีอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 60 แห่งที่อยู่ในระหว่างการดำเนินการ ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการภายใน 3-4 ปีข้างหน้า โดยล่าสุด กลุ่มดุสิตธานีมีความพร้อมที่จะสร้างความตื่นเต้นครั้งใหม่ให้กับการเดินทาง โดยจะเปิดให้บริการภายใต้แบรนด์ “ดุสิตธานี” ที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นครั้งแรก ได้แก่ โรงแรมดุสิตธานี เกียวโต ที่พร้อมให้บริการในเดือนกันยายน และโรงแรมอาศัย เกียวโต ชิโจ ที่จะเปิดให้บริการรับนักท่องเที่ยวได้ในเดือนมิถุนายนนี้

Back to top button