ตระกูล “ออริจิ้น” กวาดกำไรปี 65 ทะลัก 5.5 พันล้าน BRI เด่นสุด โต 144%
"ตระกูล ออริจิ้น" กวาดกำไรปี 65 เฉียด 5.5 พันล้านบาท BRI นำทีมโต 144% เทียบกับปีก่อน พร้อมตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีมูลค่าการพัฒนาโครงการอยู่ใน Top5 ส่วน ORI โกยกำไร 3.77 พันล้าน โต 18% จากปีก่อน
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมผลการดำเนินงานงวดปี 65 ของหุ้นในกลุ่ม บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ซึ่งประกอบด้วย บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI และ บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ดังนี้
โดย ORI รายงานกำไรปี 65 ออกมาอยู่ที่ระดับ 3.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีกิจกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร จำนวน 18,508.7 ล้านบาท ประกอบไปด้วยกิจกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กิจการรวมค้า จำนวน 11,676.4 ล้านบาท และกิจกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการที่อยู่ภายใต้กิจการร่วมค้า จำนวน 6,832.3 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งกําไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าทั้งสิ้น 863.9 ล้านบาท (ตามสัดส่วนถือหุ้น 51%)
ทั้งนี้จึงส่งผลให้กลุ่มบริษัทมีกําไรสำหรับปีส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นจำนวน 3,774.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.2 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน นับเป็นการทำลายสถิติทั้งกิจกรรมการโอนกรรมสิทธิ์และกําไรสุทธิของกลุ่มบริษัท (New All Time High)
ขณะเดียวกันมีอัตรากําไรสุทธิอยู่ที่ระดับร้อยละ 24 ส่งผลมาจากการเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้กิจการร่วมค้า พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ, พาร์ค ออริจิ้น ราชเทวี และแฮมป์ตัน ศรีราชา มูลค่าโครงการรวมทั้ง 3 โครงการ กว่า 16,000 ล้านบาท และการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมจากการกลับมาเปิดประเทศ
โดยกลุ่มบริษัทได้ประกาศจ่ายปันผลในรูปของเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.57 บาท หรือคิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend yield) เท่ากับร้อยละ 6.05 โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 8 พ.ค.66 และกำหนดจ่ายปันผล 25 พ.ค.66
ด้าน BRI มีรายได้รวมปี 65 ที่ระดับ 6.29 พันล้านบาท เติบโต 65% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.47 พันล้านบาท เติบโตถึง 144% หลังได้รับการตอบรับที่ดีจากทั้งกลุ่มโครงการเปิดขายใหม่ และโครงการที่อยู่ระหว่างขายและโอนกรรมสิทธิ์ สะท้อนถึงความมั่นใจของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์บ้านจัดสรรในเครือบริทาเนีย
พร้อมกันนี้ บริษัทยังตั้งเป้ายอดขายในปี 66 ที่ระดับ 1.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ 1.1 หมื่นล้านบาท และสร้างรายได้ 9 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 6.29 พันล้านบาท
บริษัทวางเป้าหมายในช่วง 3 ปีนี้ (ปี 66-68) จะผลักดันรายได้ขึ้นไปแตะ 2 หมื่นล้านบาท ภายในปี 66 พร้อมทั้งตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีมูลค่าการพัฒนาโครงการอยู่ใน Top5 จากปัจจุบันอยู่อันดับที่ 9 พร้อมขยาย Segment แบรนด์บ้านหรูของ BRI ให้ไปสู่ฐานลูกค้าระดับบนมากขึ้น ซึ่งจะต้องมีการพัฒนาโครงการและแบรนด์ระดับ Super Luxury และ Ultra Luxury เพิ่มเข้ามา เพื่อขยายฐานลูกค้าและปิดช่องว่างทางการตลาด ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อที่สูง
ขณะที่ PRI รายงานรายได้รวมปี 65 อยู่ที่ระดับ 914.6 ล้านบาท เติบโต 86.8% จากช่วงเดียวกันของปี 64 ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ระดับ 240.1 ล้านบาท เติบโต 115.9% จากช่วงเดียวกันของปี 64 คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 26.3%
โดยกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ให้แก่บริษัทสูงสุดในปี 65 ยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจกลางน้ำอย่างบริการการจัดการเพื่อการอยู่อาศัย (Living Services) โดยมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจดังกล่าว 412.7 ล้านบาท เติบโตถึง 112.8% จากปี 64 หรือเติบโตขึ้นมากกว่าเท่าตัว เนื่องจากบริษัทขยายพอร์ตการให้บริการบริหารนิติบุคคลแก่นิติบุคคลอาคารชุดและหมู่บ้านจัดสรรในโครงการใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ธุรกิจบริการนายหน้าอสังหาริมทรัพย์และบริการจัดหาผู้ร่วมทุน (JV) ก็มีรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากการฟื้นตัวภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
สำหรับปี 2566 บริษัทยังคงเดินหน้าขยายอาณาจักร Super Living Service ขยายขอบเขตธุรกิจบริการใหม่ๆ ทั้งกลุ่มต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ในหลากหลายมิติ ทั้งการเพิ่มบริการในเซ็กเมนต์ใหม่ การเปิดตัวธุรกิจใหม่ ตลอดจนการบุกตลาดต่างจังหวัด เพื่อให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน รวมถึงก้าวเป็น Happy Maker ที่มีบริการพร้อมตอบโจทย์การสร้างความสุขให้ผู้บริโภคตลอดช่วงชีวิต
โดย ณ สิ้นปี 2566 บริษัทตั้งเป้าจะมีโครงการที่เข้าไปบริหารนิติบุคคลและโครงการที่เข้าไปบริหารงานขายรวมกันมากกว่า 150 โครงการ ขณะเดียวกัน ตั้งเป้ารายได้ทั้งปี 2566 ไว้ที่ 1,300 ล้านบาท เติบโตจากปี 2564 ถึงราว 173.06% หรือเกือบ 3 เท่าตัว