TLI มั่นใจปี 66 พอร์ตลงทุนโตต่อ รับดอกเบี้ย-บอนด์ยีลด์ขาขึ้น
TLI มั่นใจปี 66 พอร์ตลงทุนโตต่อ รับดอกเบี้ย-บอนด์ยีลด์ขาขึ้น พร้อมวางกลยุทธ์เน้นพัฒนาตัวแทนขายเพิ่มทักษะดิจิตอล รุกเจาะตลาดออนไลน์ ฟากยอดเคลมผู้ป่วยโควิดปีนี้ลดลง มั่นใจดันผลงานโตเข้าเป้า
นายไมเคิล เฮียง ลี รองผู้จัดการใหญ่ และ Chief Financial Officer บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 1 มี.ค.65 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 9,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปี 64 มีเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) ที่ 12,819 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% ขณะที่ผลรวมของกำไรที่คาดจะได้รับตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งถึงวันสิ้นสุดสัญญา หรือ Value of New Business (VONB) ที่ 7,325 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31%
โดยอัตรากำไรของ VONB หรือ VONB Margin ดีขึ้นต่อเนื่อง และมีมูลค่าปัจจุบันของกรมธรรม์ที่ 145,170 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 2% เป็นผลจากการเติบโตของ APE และ VONB ในทุกช่องทางการขาย ตามกลยุทธ์ Multi-Channel และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สร้างกำไรระยะยาว มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล และให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่สร้างกำไรดี ไม่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) อนุมัติการจ่ายปันผลปี 65 อัตราหุ้นละ 0.30 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้สิทธิรับเงินปันผล (XD) วันที่ 9 พ.ค. 2566
ขณะที่สินทรัพย์ลงทุนของ TLI ณ สิ้นปี 65 มีจำนวน 538,370 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าว เป็นการลงทุนในตราสารหนี้ (คิดเป็น 81.77% ของพอร์ตรวม) ที่ประกอบด้วยพันธบัตรรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ หุ้นกู้เอกชน เงินฝาก จำนวน 440,215 ล้านบาท และตราสารทุน 61,066 ล้านบาท โดยมีการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
สำหรับกลยุทธ์ธุรกิจในปี 66 จากแนวโน้มธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คาดการณ์ว่าปี 66 จำนวนนักท่องเที่ยวจเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ส่วนการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) คาดว่าจะเติบโต 3.7% และอัตราเงินเฟ้อจะลดลงอยู่ที่ 3% ด้านความคุ้มครองประกันภัยบ่งชี้ว่า การทำประกันภัยในประเทศยังไม่เพียงพอมีโอกาสเติบโตอีกมากในขณะเดียวกันสังคมผุ้สูงอายุและอัตราการพึ่งพิงที่สูงขึ้นจะสร้างโอกาสให้กับบริษัทในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองต้องการลูกค้าสำหรับครอบครัวมากขึ้น ความตระหนักถึงสุขภาพมากขึ้นหลังโควิด-19 แพร่ระบาดส่งผลให้ยอดขายประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นมากและมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต ดังนั้นบริษัทเชื่อมั่นว่าจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคของปีนี้จะส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างฐานการเติบโตของธุรกิจต่อไป
นอกจากนี้บริษัทได้วางแผนกลยุทธ์ธุรกิจในแต่ละช่องทางการขายเพื่อรักษาการเติบโต โดยเฉพาะช่องทางตัวแทนขายบริษัทมีโครงการปฏิรูปสาขาและพัฒนาบุคคลากรของสาขาให้มีทักษะดิจิทัลและความคิดด้านข้อมูลมากขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังตั้งเป้าหมายขยายตลาดจากฐานลูกค้าเดิม โดยการนำ Application TLI พร้อมสนับสนุนแคมเปญและโปรแกรมสิทธิพิเศษต่างๆให้กับลูกค้า และช่องทางอื่นๆ บริษัทจะพัฒนาทักษะพนักงานการขายผ่านช่องทางโทรศัพท์เพื่อเจาะกลุ่มตลาดออนไลน์
แนวโน้มการลงทุนตลาดตราสารหนี้(บอนด์)และตลาดหุ้นยังผันผวน แต่เมื่อเทียบกับปี 2565 ถือเป็นปีที่ท้าทายอย่างมาก โดยเริ่มต้นปี 2566 ที่ผ่านมาถือว่าดีกว่าปีก่อน เมื่อเทียบกับปัจจัยที่กดดันทั้งความขัดแย้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน และอัตราเงินเฟ้อที่สูง และนโยบายการเงินที่ตึงตัวมาก ปัจจัยที่เกิดขึ้นแม้จะยังคงอยู่แต่ประเทศประเทศยังมีศักยภาพในการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นอยู่ และยังมีมุมมองที่ดีในส่วนของการท่องเที่ยว ในส่วนของการเปิดประเทศจีนก็ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย บริษัทเชื่อว่าการดำเนินการตามกลยุทธ์จะทำให้บริษัทเติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน
ขณะที่ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ และตัวเลขการจ้างงานยังแข็งแกร่ง และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยยังเป็นขึ้น และอัตราเงินเฟ้อชะลอน้อยกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อการลงทุนในตราสารหนี้ เนื่องจากมองว่าอัตราดอกเบี้ยยังสูง แต่อย่างไรก็ดีอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงอาจจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไม่ฟื้นตัวแต่บริษัทได้มีการปรับกลยุทธิ์ตามภาวะที่เหมาะสม และมองว่าไม่กระทบพอร์ตลงทุน
นอกจากนี้ภาพรวมการเคลมประกันสุขภาพในปีนี้คาดว่าจะลดลงจากปีก่อนอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท เนื่องจากมองว่าการแพร่ระบาดโควิด-19 ลดลงอย่างต่อเนื่อง และแทบไม่มีนัยสำคัญในช่วงตั้งแต่ไตรมาส 4/65 และคาดว่าตลอดทั้งปี 66 จะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนหนี้เขามาเป็นตัวกระทบผลประกอบบริษัทในปีนี้