SCB EIC ชี้ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพปี 66 เงินสะพัด 2.9 หมื่นล้าน
SCB EIC มองตลาดท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ไทยในปี 66 มีแนวโน้มฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับที่สูงกว่าปี 62 แล้ว คาดมีมูลค่าราว 2.9 หมื่นล้านบาท
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่า ตลาดท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ไทยในปี 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับที่สูงกว่าปี 2562 แล้ว และจะมีมูลค่าราว 2.9 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการเติบโตต่อเนื่องจากปี 2565 จากแรงสนับสนุนของอุปสงค์คงค้างในการรักษาพยาบาลหลังจากที่ติดปัญหาด้านการเดินทางในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 ปี 2563-2564 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากกลุ่ม CLMV กลุ่มตะวันออกกลางและจีน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญ
อีกทั้งตลาดท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ไทยยังมีปัจจัยสนับสนุนจากเมกะเทรนด์ด้านสุขภาพในหลายด้านที่จะช่วยผลักดันให้เกิดการเติบโตต่อเนื่องในอนาคต ได้แก่ 1.การก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจสูงวัย (Silver economy) ซึ่งผลักดันให้ความต้องการด้านการรักษาพยาบาล รวมถึงความต้องการด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการชะลอวัยเพิ่มสูงขึ้น 2.การเติบโตของชนชั้นกลางและกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งหนุนให้ความต้องการในการรับบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพมาตรฐานและได้รับความสะดวกสบายเพิ่มสูงขึ้น
3.แนวโน้มการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง NCDs เพิ่มขึ้นทั่วโลก เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตทั้งการกินอาหาร การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การไม่ออกกำลังกาย หรือความเครียด และทำให้มีค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์และการดูแลสุขภาพมากขึ้น 4.พฤติกรรมผู้บริโภคที่มีแนวโน้มใส่ใจสุขภาพมากขึ้นหลังวิกฤตโควิด-19 ซึ่งสนับสนุนให้การใช้บริการทางการแพทย์และสุขภาพ (Wellness) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เช่น ตรวจร่างกาย กายภาพบำบัด และเวชศาสตร์ป้องกัน
โดยปัจจัยที่ดึงดูดและกลายเป็นจุดแข็งให้นักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เดินทางเข้ามารักษาพยาบาลในไทยอย่างต่อเนื่องมาจาก ราคาค่ารักษาพยาบาลที่สมเหตุสมผล คุณภาพของบุคลากรและสถานพยาบาล และการเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม โดย 1.ราคาค่ารักษาพยาบาลไทยอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ เมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคโดยเฉพาะในด้านการศัลยกรรมความงามและการผ่าตัดมดลูก 2.บุคลากรทางการแพทย์ของไทยมีความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา มีบริการเป็นเอกลักษณ์ และมีสถานพยาบาลระดับสากลได้รับมาตรฐาน JCI มากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน (59 แห่ง) และ 3.การเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ซึ่งช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวอยากเข้ามาพักผ่อนต่อเนื่อง
ทั้งนี้ภาครัฐและภาคเอกชนต่างเล็งเห็นโอกาสและวางแผนพัฒนาเพื่อเจาะตลาด Medical tourism โดยภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนและผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical hub) ภายในปี 2569 จากการส่งเสริมการลงทุนผ่าน BOI โดยในปี 2565 ภาครัฐได้ประกาศจัดตั้งระเบียงเศรษฐกิจสุขภาพอันดามัน (AWC) ครอบคลุม 6 จังหวัดทางภาคใต้เพื่อพัฒนาความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคเฉพาะด้าน โดยได้เริ่มอนุมัติโครงการศูนย์สุขภาพนานาชาติอันดามันที่ภูเก็ต รวมถึงการลดค่าธรรมเนียมวีซ่าเพื่อรักษาพยาบาลระยะเวลา 1 ปี ซึ่งผู้ป่วยต่างชาติสามารถเดินทางเข้าไทยได้หลายครั้ง และครั้งละไม่เกิน 90 วัน
ส่วนผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนต่างเร่งขยายขีดความสามารถในการให้บริการเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ทั่วโลก โดยแม้ในปัจจุบันโรงพยาบาลเอกชนไทยต่างมีศักยภาพและความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่ค่อนข้างดีมากแล้ว แต่หลายๆ โรงพยาบาลต่างก็เร่งพัฒนายกระดับการให้บริการในหลากหลายรูปแบบเพื่อคว้าโอกาสนี้ เช่น การพัฒนาโรงพยาบาลสู่การเป็นศูนย์แพทย์เฉพาะทาง, การขยายความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ, การสร้างศูนย์การแพทย์และสุขภาพครบวงจร และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้
อย่างไรก็ดีไทยยังคงมีความท้าท้ายที่สำคัญในการพัฒนาสู่การเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์
1.การแข่งขันจากประเทศคู่แข่งในหลายประเทศทั่วโลก เช่น ตุรกี กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ซึ่งต่างเร่งพัฒนาศูนย์การแพทย์ชั้นนำเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์
2.การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และบริการสนับสนุน เพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เนื่องจากบุคลากรในระบบสาธารณสุขยังอยู่ในสัดส่วนที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งชั้นนำ รวมถึงความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองไหล (Brain drain) จากปัจจัยข้อจำกัดในหลายด้านทั้งสภาพแวดล้อมการทำงาน ค่าตอบแทน ทุนการศึกษาที่จำกัด ที่ส่งผลให้บุคลาการทางการแพทย์มีแนวโน้มย้ายออกจากระบบสาธารณสุขของรัฐและกระทบต่อความมั่นคงด้านสาธารณสุขในภาพรวมทั้งประเทศ
3.กระแส Technology disruption จาก HealthTech ที่มีผลให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัว เพื่อเพิ่มความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในการรักษาควบคู่ไปกับการนำมาช่วยยกระดับการให้บริการ เช่น การใช้ AI ในการช่วยวินิจฉัยโรค, การใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด, ระบบข้อมูลสุขภาพผู้ป่วยแบบดิจิทัล, แพลตฟอร์มนัดรักษาออนไลน์ และการใช้ Tele-medicine
กลยุทธ์สำคัญ 4 ข้อ ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถก้าวเป็นผู้นำตลาด Medical tourism
1.การสร้างและผลักดัน Branding การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก ด้วยการพัฒนาความเชี่ยวชาญการรักษาเฉพาะด้าน โดยอาจร่วมมือกับภาครัฐในการผลักดันพร้อมใช้ Soft power ของไทยเข้ามาช่วยส่งเสริมให้ชาวต่างชาติอยากเข้ามาใช้บริการในไทย
2.การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ (Partnership) กับภาคธุรกิจต่าง ๆ ทั้งโรงพยาบาล สายการบิน โรงแรม รีสอร์ต สปา ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ บริษัททัวร์ บริษัทประกัน โดยเฉพาะการเสนอแพ็กเกจอย่างครบวงจรทั้งการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกและสามารถจัดโปรโมชันเพื่อเข้าถึงนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น
3.การยกระดับคุณภาพการให้บริการและความก้าวหน้าทางการรักษา เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์การแพทย์ชั้นนำและแข่งขันกับคู่แข่งระดับโลกได้ โดยอาศัยการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาครัฐ รวมถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ-ภาครัฐด้วย
4.การนำ HealthTech มาปรับใช้ในธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการ พร้อมทั้งยังสามารถอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ