ครม. ยืดเวลาลดภาษี “ดีเซล” อีก 6 เดือน บรรเทาค่าไฟประชาชน-ภาคธุรกิจ

ครม. เคาะขยายเวลาลดภาษีดีเซลอีก 6 เดือน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจเรื่องค่าไฟฟ้า ช่วงเศรษฐกิจเพิ่งเริ่มฟื้นตัว


นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบขยายเวลาจัดเก็บภาษีสรรพสามิตอัตราศูนย์สำหรับน้ำมันดีเซล (บี0) และน้ำมันเตาที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ออกไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม – 15 กันยายน 2566 เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจเรื่องค่าไฟฟ้า ในช่วงที่เศรษฐกิจเพิ่งเริ่มฟื้นตัว และราคาเชื้อเพลิงต่างๆ ในตลาดโลกยังคงผันผวน

ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังไม่ยุติ ทำให้แนวโน้มสถานการณ์ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ยังคงมีความผันผวน รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจภาพรวมในประเทศเพิ่งฟื้นตัวหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการทางภาษีต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งยังต้องมีการใช้และสำรองน้ำมันดีเซล (บี0) และน้ำมันเตาในการผลิตกระแสไฟฟ้า

รวมถึงเตรียมรับมือกรณีสถานการณ์ราคา LNG ที่อาจเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัย อีกทั้งเพื่อควบคุมไม่ให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น จนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของพี่น้องประชาชน และความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ เนื่องจากไฟฟ้าเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่เป็นต้นทุนการผลิตในทุกภาคส่วนของทุกอุตสาหกรรม

ทั้งนี้กรมสรรพสามิต จึงเสนอขยายเวลาจัดเก็บภาษีสรรพสามิตอัตราศูนย์สำหรับน้ำมันดีเซล (บี0) และน้ำมันเตาที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจที่จะเกิดขึ้นจากค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงช่วยให้เศรษฐกิจภาพรวมของประเทศสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ ซึ่งครม. อนุมัติให้ขยายเวลาจัดเก็บออกไปอีก 6 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2566 ถึงวันที่ 15 กันยายน 2566

นายเอกนิติ กล่าวว่า การดำเนินมาตรการภาษีในครั้งนี้ แม้จะส่งผลให้กรมสรรพสามิตสูญเสียรายได้ที่ควรจะได้รับจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันประมาณ 8,050 ล้านบาท โดยสูญเสียจากน้ำมันดีเซล (บี0) ประมาณ 7,920 ล้านบาท และจากน้ำมันเตาประมาณ 130 ล้านบาท ก็ตาม แต่กรมสรรพสามิตให้ความสำคัญต่อการบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่พี่น้องประชาชน และภาคธุรกิจ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ

“การดำเนินมาตรการภาษีในครั้งนี้ ไม่กระทบต่อเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ภาษีสรรพสามิต เนื่องจากรายได้ที่สูญเสียดังกล่าวไม่ได้ถูกนำไปรวมในเป้าหมายตั้งแต่ต้น” นายเอกนิติ กล่าว

Back to top button