RATCH ตั้งเป้าอีบิทด้าปี 66 แตะ 1.2 หมื่นล้าน อัดงบปีนี้ 3.5 หมื่นล. ขยายโรงไฟฟ้า
RATCH ชูกลยุทธ์ธุรกิจ 3S ตั้งเป้าอีบิทด้าปีนี้ 1.2 หมื่นล้านบาท ดันปี 70 แตะ 1.5 หมื่นล้านบาท พร้อมวางงบปีนี้ 3.5 หมื่นล้านบาท เดินหน้าขยายลงทุนโรงไฟฟ้าและนอกภาคไฟฟ้า
นางสาวชูศรี เกียรติขจรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เปิดเผยว่า บริษัทกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจและเป้าหมายปี 66-70 ผ่านการดำเนินงานตาม 3S คือ Strength, Synergy, Sustaninability เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายบริษัทจะมุ้งเน้นใน 4 ด้าน ได้แก่
1.ผลตอบแทนเติบโตอย่างมั่นคง โดยตั้งเป้า กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ปี 66 เติบโตไม่น้อยกว่า 12,000 ล้านบาท และปี 70 ไม่น้อยกว่า 15,000 ล้านบาท
2.พัฒนาธุรกิจนอกภาคไฟฟ้า (Non-Power) วางเงินลงทุนปี 66 ไม่น้อยกว่า 5% และตั้งเป้ามีสัดส่วนรายได้มากกว่า 5% ในปี 70
3.เพิ่มกำลังการผลิตทดแทนเพิ่มลด GHG โดยมีเป้าหมายปี 66 ไม่น้อยกว่า 20% และปี 70 ไม่น้อยกว่า 25%
4.พัฒนา ESG สู่มาตรฐานสากล โดยตั้งเป้าปี 66 พัฒนาระบบบริหารสิ่งแวดล้อมและสังคม, ปี 70 ประกาศความมุ่งมั่นเป็นกลางทางคาร์บอน
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ปี 66 ไว้ไม่น้อยกว่า 13,000 ล้านบาท จากปี 65 อยู่ที่ 12,811.71 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 15,000 ล้านบาท ในปี 70 เป็นไปตามรายได้ที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง จากปีก่อนมีรายได้รวมอยู่ 81,788.08 ล้านบาท
โดยในปี 66 บริษัทจะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าที่ลงทุนในพอร์ตของเน็กส์ซิฟ และโรงไฟฟ้าไพตัน กำลังการผลิตรวม 1,207.13 เมกะวัตต์ เข้ามาราว 4,000-5,000 ล้านบาท ได้แก่ ในประเทศ โครงการโรงไฟฟ้าราช, เอ็นเนอร์จี ระยอง, ต่างประเทศ โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติสแน็ปเปอร์ พ้อยท์, โรงไฟฟ้าพลังงานลม ลินคอล์น แก็ป 1&2 ในออสเตรเลีย, โรงไฟฟ้าพลังน้ำค๊อดซาน และซองเกียง 2 และโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีโค่วิน ในเวียดนาม เป็นต้น
ส่วนความคืบหน้าของการเข้าซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนไพตัน ในอินโดนีเซีย บริษัทคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในไตรมาส 2/66
ขณะเดียวกันบริษัทยังมองหาโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ธุรกิจผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมอีกราว 500 เมกะวัตต์ ผ่านบริษัทร่วมลงทุน Nexie Ratch Energy Investment (NREI) โดยมีความสนใจในประเทศเวียดนาม, ฟิลิปปินส์, ออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย โดยเฉพาะโครงการพลังงานทดแทน และเชื้อเพลิงไฮโดรเจน คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในปีนี้ จากปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจา M&A แล้วจำนวน 2 ดีล
“บริษัทมองโอกาสในการลงทุนในเวียดนาม เนื่องจากมีแผนพัฒนาไฟฟ้าฉบับที่ 8 (PDP VIII) ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ, โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิง LNG, พลังงานลมบนบก และไฮโดรเจนที่ผลิตจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์ ส่วนฟิลิปปินส์ ก็มีแผนพัฒนาโรงไฟฟ้าเป้าประมาณการกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 114,601 เมกะวัตต์ในปี 2583 โดย 50% มาจากพลังงานทดแทน ขณะที่อินโดนีเซีย ก็มีเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิต 40.6 กิกะวัตต์ (GW) ในปี 2573 มาจากพลังงานทดแทน 20.9 GW หรือ 51.6% เป็นต้น” นางสาวชูศรี กล่าว
ณ สิ้นเดือน ก.พ.66 บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม อยู่ที่ 9,801.85 เมกะวัตต์ คาดว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็นประมาณ 11,500 เมกะวัตต์
นอกจากนี้บริษัทยังได้ยื่นขอเสนอขายไฟฟ้า ในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง กำลังการผลิตรวม 5,203 เมกะวัตต์ กับทางหน่วยงานภาครัฐ โดยคาดว่าคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จะสรุปผลการพิจารณาได้ภายในเดือนมี.ค. 66
พร้อมกันนี้ยังได้เตรียมความพร้อมในการยื่นเสนอขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนฯ หลังคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้ประกาศรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมรวม 3,668.5 เมกะวัตต์ด้วย ซึ่งอยู่ระหว่างรอดูความชัดเจนของรายละเอียด
ด้านบริษัทจะใช้ NREI เดินหน้าพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าที่มีอยู่แล้วในประเทศออสเตรเลีย, เวียดนาม และฟิลิปปินส์ กำลังการผลิตรวมประมาณ 1,902.63 เมกะวัตต์ ให้สามารถดำเนินการเชิงพาณิชย์ให้ได้ตามเป้าหมาย ตามแผนกำลังการผลิตของบริษัทจะมีกำลังผลิตเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นในปี 67 รวม 518.66 เมกะวัตต์, ปี 68 เพิ่มขึ้นอีก 918.20 เมกะวัตต์, ปี 70 เพิ่มขึ้นอีก 252.77 เมกะวัตต์ และปี 73 อีก 213 เมกะวัตต์
ด้านกลุ่มธุรกิจนอกภาคไฟฟ้า (Non-Power) ก็คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าจะมีสัดส่วนรายได้มากกว่า 5% ในปี 70 จากปี 65 อยู่ที่ 1,599.35 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2% ของรายได้รวม จากมุ่งเน้นที่ธุรกิจบริการสุขภาพ โดยยังคงจับมือกับกลุ่ม PRINC ด้านนวัตกรรมยังดำเนินการผ่านบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด อีกทั้งยังมีการศึกษาความเป็นไปได้การพัฒนากรีนไฮโดรเจน โดยมีแผนจะดำเนินการนำร่องในออสเตรเลียเป็นแห่งแรก
บริษัทวางงบลงทุนปีนี้ไว้ที่ 35,000 ล้านบาท โดยจะใช้ในการขยายการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้า 29,000 ล้านบาท และธุรกิจนอกภาคไฟฟ้า 6,000 ล้านบาท
นางสาวชูศรี กล่าวว่า บริษัทยังจะดำเนินการแผนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้มีความก้าวหน้าและบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ในปีนี้มีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตให้ได้ 30,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เพิ่มกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนให้ถึง 20% และพัฒนาคาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชนอีก 10,000 ไร่ โดยบริษัทจะได้เข้าร่วมในโครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์