PCC คว้างาน “กฟภ.” กว่า 191 ล้าน ตั้งเป้า 3 ปีรายได้รวม 6 พันลบ.
PCC เผยบริษัทย่อย “พรีไซซ ซิสเท็ม แอนด์ โปรเจ็ค” คว้างานปรับปรุงระบบป้องกันและควบคุมในสถานีไฟฟ้าและจ้างเปลี่ยนตู้ Switchgear 22 kV จาก “กฟภ.” กว่า 191 ล้าน ตั้งเป้า 3 ปีรายได้รวม 6 พันลบ.
นายกิตติ สัมฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) หรือ PCC ระบุว่า บริษัท พรีไซซ ซิสเท็ม แอนด์ โปรเจ็ค จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้น ร้อยละ 99.98 ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะการประกวดราคาจ้างงานปรับปรุงระบบป้องกันและควบคุมในสถานีไฟฟ้าและจ้างเปลี่ยนตู้ Switchgear 22 kV ปี 2565 รายการที่ 2 ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) กับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2566 มูลค่าสัญญารวม 191,069,900.00 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ทั้งนี้ มีกําหนดการส่งมอบโครงการภายใน 400 วัน ถัดจากวันที่วันลงนามในสัญญาจ้างและวันส่งมอบพื้นที่ โดยมีเงื่อนไขการชําระเงินแบ่งออกเป็น 3 งวด ตามความคืบหน้าของงานที่แล้วเสร็จ
“บริษัทฯย่อย คือ บริษัท พรีไซซ ซิสเท็ม แอนด์ โปรเจ็ค จํากัด คว้างานใหม่ของกฟภ.มูลค่า 191.07 ล้านบาท ทำให้ Backlog ในมือของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น ขณะที่อยู่ระหว่างการประมูลงานโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้รายได้ในปีนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง” นายกิตติ กล่าว
สำหรับแผนธุรกิจในช่วง 3 ปี (2566-2568) ตั้งเป้ารายได้แตะ 6,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากการเติบโตของระบบสมาร์ทกริด ทำให้มีการลงทุนเพิ่มโดยหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
อนึ่ง ก่อนหน้านี้บริษัทฯได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในการออกแบบและพัฒนาระบบสมาร์ทกริดและโซลูชั่นพลังงานแบบอัจฉริยะภายในประเทศ ระหว่างบริษัท พรีไซซ ซิสเท็ม แอนด์ โปรเจ็ค จำกัด บริษัทในเครือ PCC กับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อทำให้ระบบไฟฟ้ามีความมั่นคงและมีประสิทธิภาพสูงสุด
โดยความร่วมมือทางธุรกิจในครั้งนี้ถือเป็นการผนึกความแข็งแกร่งของทั้งสองกลุ่มบริษัท โดยบริษัท พรีไซซ ซิสเท็ม แอนด์ โปรเจ็ค จำกัด มีความชำนาญด้านธุรกิจที่ครอบคลุมระบบสมาร์ทกริดแบบครบวงจร อาทิ การออกแบบและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบไฟฟ้าที่ครอบคลุมตั้งแต่สถานีไฟฟ้า ไปจนถึงระบบส่งและจำหน่ายไฟฟ้า ขณะที่ บริษัท หัวเว่ย ที่เป็นผู้นำระดับโลก มีความชำนาญทางด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานของระบบสื่อสาร
ดังนั้น ความร่วมมือดังกล่าวจะเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจในการให้บริการด้านพลังงานไฟฟ้าให้อัจฉริยะมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแผนแม่บทการพัฒนาระบบโครงข่ายสมาร์ทกริดของประเทศไทย