ATP30 ตั้งเป้ารายได้ปี 66 “นิวไฮ” โต 10% รับเทรนด์รถ EV มาแรง
ATP30 ลุ้นปี 66 ทำนิวไฮเป็นปีที่ 2 ตั้งเป้าเติบโต 10% รับกระแสรถไฟฟ้ากระแสตอบรับดี พร้อมซุ่มเจรจาลูกค้าหลายรายดันผลงานโตต่อเนื่อง
นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ ATP30 ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการรถรับส่งพนักงานจากแหล่งที่พักอาศัยในเขตชุมชนไปยังโรงงานอุตสาหกรรม หรือสถานประกอบการโดยเฉพาะรอบเขตนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก (Eastern Seaboard) เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจปี 2566แนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
โดยบริษัทสามารถรับรู้รายได้จากการให้บริการรถรับส่งพนักงานจำนวน 692 คัน ซึ่งถือว่าสูงสุดต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มดำเนินกิจการ แบ่งเป็นรถบัสจำนวน 271 คัน รถมินิบัสจำนวน 44 คัน รถตู้และรถตู้วีไอพี 296 คัน รถตู้ไฟฟ้า 2 คัน รถมินิบัสไฟฟ้า 5 คัน รถกระบะ 2 คัน และรถร่วมบริการ 72 คัน ประกอบกับจำนวนรถที่จะลงทุนเพิ่มในปีนี้อีกประมาณ 60 คัน คาดว่าจะส่งผลให้บริษัทสามารถทำสถิติสูงสุดได้เป็นปีที่ 2 หรือเติบโต 10% ตามแผนที่วางไว้ในปีนี้
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 1/66 บริษัทเริ่มให้บริการรถไฟฟ้าจำนวน 5 คัน มีกระแสตอบรับที่ดี กลุ่มลูกค้าให้ความสนใจขอใช้บริการเข้ามาเป็นจำนวนมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาหลายราย ซึ่งในส่วนของการให้บริการรถไฟฟ้า บริษัทมีการติดตั้งสถานีชาร์จไฟ แผงโซล่าเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ คาดว่าจะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ในการเดินรถฟลีตนี้ประมาณ 30% และคาดว่าจะสามารถขยายกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นในอนาคต
“บริษัทศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับรถไฟฟ้า ตั้งแต่เริ่มให้บริการบริหารจัดการให้เช่าและการเดินรถไฟฟ้ากับบริษัท อีวี มี พลัส จำกัด และบริษัท อรุณ พลัส จำกัด มีการทดลองการเดินรถ คำนวณตัวเลขต้นทุนต่างๆ รวมถึงอัตราการใช้พลังงาน ระยะเวลาเกือบ 2 ปี ประกอบกับเห็นแนวโน้มการใช้งานรถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งนโยบายลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ เข้มข้นในปีนี้ ส่งผลให้โรงงานในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของ ATP30 ตอบสนองนโนบายดังกล่าวมากขึ้น จึงถือเป็นโอกาสของบริษัทในการเริ่มลงทุนให้บริการด้วยรถไฟฟ้าเพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้า โดยบริษัทมีความพร้อมในการจัดหารถและให้บริการ” นายปิยะ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนปรับปรุงและซ่อมบำรุงรถโดยสารเพิ่มอีกจำนวน 15 คัน ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้และกำไรเต็มจำนวนในปีนี้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายการผ่อนรถและค่าเสื่อม รวมถึงมีต้นทุนการซ่อมบำรุงลดลง และมีกระแสเงินสดที่ดีขึ้น อีกทั้งบริษัทจะมีความสามารถการทำกำไรที่ดี จากการใช้เทคโนโลยีบริหารจัดการการเดินรถ การบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ โดยเฉพาะต้นทุนน้ำมัน ซึ่งถือเป็นต้นทุนหลักของบริษัท
สำหรับผลประกอบการปี 2565 บริษัททำสถิติสูงสุดรายได้รวม 632.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 495.59 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 29.18 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 33.12 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงไตรมาส 3/65 และ 4/65 บริษัทมีค่าใช้จ่ายการปรับปรุงสภาพรถเพื่อต่อสัญญาลูกค้าระยะยาว ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะกำไรจากการดำเนินงาน ถือว่าเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน