คัด 14 หุ้น รับเม็ดเงินสะพัด 1.2 แสนล้าน ก่อนเลือกตั้ง

คัด 14 หุ้น รับอานิสงส์เม็ดเงินสะพัด 1.2 แสนล้าน ก่อนเลือกตั้ง นำโดย ADVANC, INTUCH, THCOM, PR9, SC, SIRI, NWR, ITD, CPALL, MAKRO, CRC, AMATA, WHA, PLANB


จากกรณีสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กำหนดวันเลือกตั้งใหญ่แล้ว คือ วันที่ 14 พ.ค.66 เปิดรับสมัคร ส.ค. แบ่งเขต 3-7 เม.ย.66 ปาร์ตี้ลิสต์ 4-7 เม.ย.66 ทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเป็นประเด็นดังกล่าวจะสร้างจิตวิทยาบวกต่อตลาดต่อเนื่องในช่วง 1 เดือนก่อนเลือกตั้ง เนื่องจากคาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดมากถึง 1-1.2 แสนล้านบาท

ดังนั้นทางทีมข่าว “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจได้ประโยชน์ก่อนการเลือกตั้งมานำเสนอ โดยทำการรวบรวมข้อมูลจากบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ KCS ซึ่งระบุไว้ดังนี้

บล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(22 มี.ค.66) ว่า กกต. กำหนดวันเลือกตั้งใหญ่แล้ว คือ วันที่ 14 พ.ค.66 เปิดรับสมัคร ส.ค. แบ่งเขต 3-7 เม.ย.66 ปาร์ตี้ลิสต์ 4-7 เม.ย.66 คาดเป็นประเด็นสร้างจิตวิทยาบวกต่อตลาดต่อเนื่อง

โดยรอบนี้เชื่อว่าลุ้นในเรื่อง Election Rally ได้ไม่ต่ำกว่าผลตอบแทนอดีตช่วง 5-6 เดือนระหว่างเลือกตั้งที่ระดับ 6-7% จากองค์ประกอบ SET ปัจจุบันที่มี Valuation อยู่ในโซนน่าลงทุน PER2023 อยู่ที่ 15.4 เท่า (เทียบค่าเฉลี่ย 17.3 เท่า)

นอกจากนี้ด้วยสถานการณ์การแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองที่เข้มข้นมากขึ้น ทำให้มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่าเม็ดเงินที่จะสะพัดช่วง 1 เดือนการเลือกตั้งจะสูงขึ้นเป็น 1-1.2 แสนล้านบาท เพิ่มจากเดิมที่คาด 5-6 หมื่นล้านบาท

โดยกระตุ้น GDP ราว 0.5% ถึง 0.7% ขณะที่หนุนหุ้น Election Plays ที่อิงเศรษฐกิจภายในต่อเนื่อง อาทิ ADVANC, INTUCH, THCOM, PR9, SC, SIRI, NWR, ITD, CPALL, MAKRO, CRC, AMATA, WHA, PLANB

ด้านรศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวถึงผลสำรวจความเห็นต่อผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจต่อภาคธุรกิจไทยว่า สถานการณ์การเมืองและการเลือกตั้งจะทำให้เกิดกิจกรรมการรณรงค์หาเสียงที่เข้มข้นขึ้นกว่าทุกครั้ง ประเมินว่าจะมีเงินสะพัด 1-1.2 แสนล้านบาท และเกิดขึ้นเร็วในช่วง 1 เดือนครึ่งทุกเขตเลือกตั้ง โดยในพื้นที่ที่มี สส.แต่ละเขตมากขึ้น เงินก็จะหมุนเวียนมาก โดยจะมาจากการว่าจ้างทำป้ายหาเสียง ธุรกิจเวทีเครื่องเสียง รถหาเสียง ตลอดจนออกาไนเซอร์ที่จัดอีเว้นท์ต่างๆ ที่จะทำให้เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วประเทศเติบโตได้ 0.5-0.7% และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจ จะดีขึ้นได้ในไตรมาส 4 ของปีนี้

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เอกชนยังมีความกังวลหลังเลือกตั้ง คือความต่อเนื่องของนโยบาย เศรษฐกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ตลอดจนเสถียรภาพของรัฐบาลใหม่ จะได้รับการยอมรับหรือทำให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งต้องยอมรับว่า การจัดตั้งรัฐบาลเกิดขึ้นได้หลายมิติ ดังนั้น ในช่วงไตรมาส 2-3 นักลงทุนจะชะลอการลงทุนไว้ก่อน เพื่อรอดูทิศทางนโยบายที่ชัดเจน รวมทั้งกรณีที่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง พรรค การเมืองใช้นโยบายที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุน ผู้ประกอบการ เช่น การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจะเป็นจุดเสี่ยงของผู้ประกอบการได้ในระยะยาว

ทั้งนี้หากการเมืองยังคงมีความไม่แน่นอน การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ไม่มีเสถียรภาพเกิดความขัดแย้งของการเมืองนอกสภา จะทำให้นักลงทุนตัดสินใจชะลอดูความชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปีนี้ หากไม่รุนแรงเศรษฐกิจจะเดินหน้าได้ แต่หากไม่มีเสถียรภาพอย่างชัดเจนจะส่งผลกับการฟื้นตัว ของเศรษฐกิจประเทศแน่นอน ซึ่งหอการค้าไทยจะมีการประเมินภาวะเศรษฐกิจอีกครั้งหลังเดือนกรกฎาคม ที่ผลการเลือกตั้งมีความชัดเจนแล้ว ว่าพรรคการเมืองใดมีเสียงส่วนใหญ่ในสภาและการจับขั้วทางการเมืองจะออกมาในรูปแบบใด

นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยังมีความเป็นห่วงในเรื่องต้นทุนการประกอบการ กิจการที่สูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ค่าไฟฟ้าแพง เงินเฟ้อสูง อัตราดอกเบี้ยสูง ขณะเดียวกันจะส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน หากของแพงคนก็ไม่ซื้อ ยอดขาย ลด และกำไรแย่ลง แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะมีท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว แต่ภาคการส่งออกไม่ได้กระเตื้องขึ้น อย่างที่คาดการณ์ไว้ โดยยังประมาณการเศรษฐกิจ 3.3-3.8%

Back to top button