โบรกคัด 3 หุ้นตัวท็อป “ขนมขบเคี้ยว” ชู SNNP เด่น กำไร 3 ปีโตเฉลี่ยปีละ 24%
3 หุ้นตัวท็อป “ขนมขบเคี้ยว” โบรกเชียร์ “ซื้อ” SNNP ราคาเป้าหมาย 30.30 บาท ส่วน SAPPE ราคาเป้าหมาย 64.60 บาท มองว่าเป็นบริษัทที่อยู่ในช่วงขยายกำลังผลิตจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นในกลุ่ม “ขนมขบเคี้ยว” ที่น่าสนใจ โดยนักวิเคราะห์ บล. กสิกรไทย มองว่าหุ้นที่โดดเด่นสุด คือ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP และ บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE ที่มีปัจจัยหนุนรายได้หลักแข็งแกร่งเท่าๆ กัน รองลงมาคือ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN โดยคาดการณ์การเติบโตของรายได้ในปี 2566 อยู่ที่ 16%, 16% และ 11% สำหรับ SNNP, SAPPE และ TKN ตามลำดับ
โดยทั้ง SNNP และ SAPPE อยู่ในช่วงการขยายกำลังการผลิตอย่างรวดเร็วจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และกำลังเข้าสู่ตลาดใหม่ เช่น เวียดนาม และ ฟิลิปปินส์ สำหรับ SNNP และฝรั่งเศส เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์ สำหรับ SAPPE อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีประเทศใหม่ที่มีศักยภาพสำหรับ TKN การเติบโตต้องอาศัยการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก
ด้านกำไรสุทธิในช่วง 3 ปี มีระดับอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 24%, 18% และ 10% สำหรับ SNNP, SAPPE และ TKN โดย SNNP และ SAPPE กำลังเข้าสู่ช่วงของการขยาย GPM แผนกต่างประเทศที่กำลังเติบโตของ SNNP จะเปลี่ยนสัดส่วนของรายได้ไปสู่ส่วนที่มีอัตรากำไรสูงมากขึ้น
ขณะที่ SAPPE จะได้ประโยชน์โดยตรงจากราคาเม็ดพลาสติก PET ที่ลดลง 30% จากจุดสูงสุด แม้ว่าราคาสาหร่ายจะสูงขึ้นประมาณ 12%-15% แต่วัตถุดิบคงคลังที่มีอยู่ของ TKN ก็เพียงพอสำหรับการผลิตจนถึงไตรมาส 3/2566 หลังจากนั้นต้นทุนของสาหร่ายน่าจะกดดัน GPM ของ TKN ในอนาคต แม้ว่า TKN จะพยายามขึ้นราคาสินค้าก็ตาม
ทั้งนี้มองว่า SAPPE มีแนวโน้มระยะสั้นที่สดใสที่สุดในไตรมาส 1/2566 เนื่องจาก 1) การฟื้นตัวจากช่วงโลว์ซีซั่นในไตรมาส 4/2565 2) เม็ดพลาสติก PET คงคลังใหม่ และ 3) การเติมสต็อกของลูกค้า
ขณะเดียวกัน SNNP และ TKN จะเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซั่นในไตรมาส 1/2566 ประเทศเวียดนามกำลังมีเทศกาลวันหยุดยาว ซึ่งส่งผลกระทบต่อ SNNP ในขณะที่ TKN อาจไม่ได้รับคำสั่งซื้อใหม่จากจีนจากวันหยุดยาวของจีนทำให้สินค้าคงคลังค้างนาน
พร้อมกันนี้ แนะนำ “ซื้อ” SNNP ราคาเป้าหมาย 30.30 บาท ปัจจัยที่ส่งผลต่อคำแนะนำ ได้แก่ 1) โรงงานในเวียดนามหนุนการเติบโต 2) การแกว่งตัวขึ้นของ GPM 3) การกลับมาเปิดประเทศของจีน และ 4) การประเมินมูลค่าที่ไม่แพงจากมุมมองของ PEG
ด้าน SAPPE แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 64.60 บาท ปัจจัยที่ส่งผลต่อคำแนะนำ ได้แก่ 1) ยอดขายที่ขับเคลื่อนจากการขยายช่องทางการขาย โดยได้รับการสนับสนุนจากโลกที่ร้อนขึ้น 2) ต้นทุนที่ปรับตัวดีขึ้น 3) การขยายกำลังการผลิต และ 4) การประเมินมูลค่าที่ไม่แพง
ขณะที่ TKN แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 10.80 บาท โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อคำแนะนำ ได้แก่ 1) ต้นทุนสาหร่ายที่สูงขึ้นในปี 2567 2) ช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวใน ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 และ 3) การประเมินมูลค่าที่ค่อนข้างแพง