PTTEP-TOP ท็อปพิก! รับประโยชน์ “น้ำมันดิบ-ค่าการกลั่น” พุ่งรอบใหม่

ดักเก็บ PTTEP-TOP หุ้นเด่นพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น รับประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันและค่าการกลั่นที่ปรับตัวขึ้น จากช่วงอุปทานตึงตัว หลังกลุ่มโอเปกพลัสประกาศปรับลดการผลิตน้ำมันลงอีก 1.16 ล้านบาร์เรลต่อวันจนถึงสิ้นปี 2566


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนี้สัญญาน้ำมันดิบยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง เหตุจากความกังวลว่าอุปทานตึงตัว ผลจากเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 66 ที่ผ่านมา ทางอิรักระงับการส่งออกน้ำมันดิบจากแคว้นเคอร์ดิสถานราว 450,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นการขนส่งผ่านท่อลำเลียงไปตอนเหนือของตุรกี เนื่องจากคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการยืนยันว่าการขนส่งดังกล่าวต้องผ่านยินยอมจากอิรักก่อน

ประเด็นถัดมาสมาชิกกลุ่มโอเปกพลัสประกาศปรับลดการผลิตน้ำมันลงอีก 1.16 ล้านบาร์เรลต่อวันจนถึงสิ้นปี 2566 ส่งผลให้ปริมาณการปรับลดการผลิตน้ำมันโดยรวมของโอเปกพลัสอยู่ที่ 3.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 3.7% ของความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลก ซึ่งเป็นการดำเนินการที่เหนือความคาดหมาย

โดยจากผลดังกล่าวข้างต้นมีการรายงานระบุว่า ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก อาจจะปรับขึ้นราคาน้ำมันสำหรับส่งออกไปยังตลาดเอเชียในเดือน พ.ค.66 หลังการตัดสินใจดังกล่าวของกลุ่มโอเปกพลัส

ทั้งนี้ ล่าสุดทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นอีกครั้ง จนสัญญาราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส (WTI) กลับมายืนเหนือ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล เช่นเดียวกับราคาน้ำมันดิบเบรนด์ ( BRENT) กลับมายืนเหนือ 85 ดอลลาร์/บาร์เรล

อย่างไรก็ตาม นายสุเชษฐ์ สุขแท้ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายมีเดียมาร์เก็ตติ้ง บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด  ประเมินว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส (WTI) ยังมีโอกาสรับตัวขึ้นไปทดสอบบริเวณ 90-95 ดอลลาร์/บาร์เรล ดังนั้นเชื่อว่าในระหว่างนี้ยังเป็นบวกต่อกลุ่มพลังงานและโรงกลั่นต่อเนื่อง

นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า จากราคาน้ำมันดิบต้นสัปดาห์นี้พุ่งขึ้นแรง ด้วยแรงหนุนจากการประกาศลดกำลังผลิตของกลุ่มโอเปกพลัส พร้อมกับต้นสัปดาห์ค่าการกลั่นได้แรงหนุนจากเหตุระเบิดที่โรงกลั่น Pertamina ทางตะวันตกของอินโดนีเซียซึ่งผลบวกต่อราคาน้ำมันเบนซินให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ส่วนหุ้นแนะนำ โดยเน้นหุ้นพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่นอย่าง หรือ PTTEP และ TOP ซึ่งปรับประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำมันและค่าการกลั่นที่ปรับขึ้นหลังได้ปัจจัยบวกจากอุปทานตึงตัว

ขณะเดียวกันทางฝ่ายวิจัยประเมินบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 2.0 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 91% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน เกิดจากค่าใช้จ่ายพิเศษที่ลดลงโดยในไตรมาสนี้มีเพียง 1 รายการคือ การตัดจำหน่ายสินทรัพย์และค่าความนิยมของโครงการบงกชลดลงราว 1.0 พันล้านบาท หลังจากสิ้นสุดสัญญาสัมปทานของแปลงบี 16 และ 17 เมื่อ 7 มี.ค. ที่ผ่านมา

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบกลับมามีแรงหนุนอีกครั้ง จากการประกาศปรับลดกำลังผลิตของกลุ่มโอเปกพลัสอีก 1.16 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งนำโดยซาอุฯปรับลด 0.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทำให้รวมแล้วจะลดลง 3.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน (รวมรัสเซีย) โดยถือเป็น Positive Surprise หนุนให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นทันทีราว 6% ซึ่งจะช่วยหนุนกำไรของ PTTEP ในช่วงไตรมาส 2/2566 และทั้งปีนี้

นอกจากนั้น มองว่า PTTEP จะมีปัจจัยบวกรออยู่คือการเร่งเพิ่มอัตราการผลิตของโครงการเอราวัณ (จี 1/61) ขึ้นจาก 210 MMSCFD เป็น 400 ใน มิ.ย. 600 ในสิ้นปีนี้และเพิ่มเป็น 800 ในเดือนเม.ย. 67 ซึ่งจะหนุนปริมาณขายในปีนี้ให้กับ PTTEP อย่างชัดเจน

สำหรับหุ้น PTTEP ยังแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 176 บาท จากประเด็นบวกของราคาน้ามันดิบและอัตราเงินปันผลที่ดี 6.1%

ด้าน บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP คาดกำไรปกติไตรมาส 1/2566 เติบโตดีจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาส 4/2565 มีการหยุดซ่อมบารุง บวกกับค่าการกลั่น (GRM) เพิ่มขึ้น, ขณะที่ Crude Premium ลดลง และกำไรจากธุรกิจอะโรเมติกส์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหนุนระยะยาวจากโครงการ CFP ซึ่งจะเพิ่มกำลังการกลั่นได้อีกมาก แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 68 บาท

Back to top button