CPF-TFG-GFPT ตีปีก! จับตาปี 66 ส่งออกไก่พุ่ง 4.5% หลัง “หวัดนก” ฉุดผลผลิตคู่ค้า
ลุ้นหุ้น CPF-TFG-GFPT ตีปีก หลังโบรกคาด "ส่งออกไก่" ปีนี้ขยายตัวราว 4.5% หลังสถานการณ์ "ไข้หวัดนก" ส่งผลกระทบกับผลผลิตของคู่ค้าในต่างประเทศ
บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การระบาดของไข้หวัดนกที่เกิดขึ้นในระยะที่ผ่านมา สามารถพบได้มากในช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคม เนื่องจาก เป็นช่วงอพยพของสัตว์ปีกจากซีกโลกเหนือ ซึ่งในแต่ละปีกลุ่มประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกสัตว์ปีกรายสำคัญที่พบกับ การระบาดจะมีมาตรการเข้มงวดในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น
อาทิ การกำจัดและระงับการส่งออกชั่วคราว แต่ในปีนี้ด้วยสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน พายุฤดูหนาวที่รุนแรงในทวีปอเมริกา รวมถึงการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกไปในเขตอุตสาหกรรมสัตว์ปีกและฟาร์ม เพาะเลี้ยงในแถบทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งในหลายพื้นที่ถูกพบการระบาดเป็นครั้งแรก อาทิ ชิลี อาร์เจนตินา จึงเป็นความเสี่ยงต่อธุรกิจการผลิตไก่ในพื้นที่ดังกล่าวเพิ่มขึ้น จากเดิมที่มักพบได้ในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เป็นต้น
ขณะที่ไทยในฐานะผู้ผลิตและผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่รายสำคัญของโลกไม่พบไข้หวัดนก แต่ก็มีการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ สถานการณ์ไข้หวัดนกในหลายประเทศรอบนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรปรวน ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตไก่ในบางประเทศที่พบการระบาดอย่างหนัก อาทิ สหภาพยุโรป สหรัฐฯ ญี่ปุ่น มีความเสี่ยงจะลดลง มากกว่าปีก่อนๆ
โดยผลผลิตในประเทศเหล่านี้อาจทรงตัวถึงลดลง 1.5% จากเดิมที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 1% อย่างไรก็ตาม ด้วยการฟื้นตัวของกำลังการผลิตไก่หลังจัดการปัญหาการระบาดได้แล้วที่น่าจะใช้เวลาไม่นาน
ประกอบกับปริมาณผลผลิตไก่ของประเทศผู้ส่งออกหลักอย่างบราซิล ซึ่งยังไม่พบไข้หวัดนกเช่นเดียวกับไทยก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ดังนั้นผลผลิตไก่โลกในปี 66 จึงคาดว่าจะยังเพิ่มขึ้นจากปีก่อน
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าการส่งออกไก่ของไทย ปี 66 อาจอยู่ที่ 4.18-4.26 พันล้านเหรียญ สหรัฐฯ อาจขยายตัวราว 2.5%-4.5% ชะลอลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากฐานที่สูง ประกอบกับเศรษฐกิจคู่ค้าหลักอย่าง ญี่ปุ่นและอังกฤษ ซึ่งมีสัดส่วนมูลค่าส่งออกราว 64% ของการส่งออกไก่ทั้งหมดของไทยไปตลาดโลกมีแนวโน้มชะลอตัว และแม้จะมีแรงหนุนจากสถานการณ์การระบาดไข้หวัดนก แต่อัตราการเติบโตของคำสั่งซื้อคงอยู่ในกรอบที่จำกัด
อย่างไรก็ดี ด้วยแรงซื้อที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นในกลุ่มไก่สดแช่เย็นแช่แข็งจากจีนจากการเปิดประเทศ รวมถึงการเปิดตลาดใหม่ๆ ให้กับสินค้าไก่ไทยผ่านการเจรจาทางการค้าและการให้การรับรองโรงงานในไทย เช่น เกาหลีใต้ ซาอุดีอาระเบีย ตลอดจนความต้องการสินค้าไก่ที่มากขึ้นในกลุ่มประเทศที่ไม่สามารถผลิตสินค้าได้เพียงพอ
อาทิ มาเลเซีย เนเธอร์แลนด์ ไอร์แลนด์ ฟิลิปปินส์อาจผลักดันให้ภาพรวมมูลค่าการส่งออกไก่ไทยในปีนี้ยังเติบโตในแดนบวกได้ ทั้งนี้ยังมีประเด็นที่ผู้ประกอบการจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะแนวโน้มค่าเงินบาทที่อาจผันผวนในทิศทางแข็งค่า รวมถึงภาวะเงินเฟ้อในตลาดคู่ค้าสำคัญที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจกระทบต่อคำสั่งซื้อได้
ทั้งนี้ หากวิเคราะห์รายสินค้าจะพบว่า กลุ่มสินค้าไก่สดแช่ เย็นแช่แข็ง (คิดเป็น 28% ของมูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ทั้งหมดของไทยไปตลาดโลก) ไทยค่อนข้างเสียเปรียบการแข่งขันด้านราคา จากต้นทุน การผลิตที่สูง โดยเฉพาะต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่ว เหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) ซึ่งไทยพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก ท่ามกลางราคาในตลาดโลกที่ผันผวน ส่งผลให้ราคาต่อหน่วยของไก่สดแช่เย็นแช่แข็งของไทยสูงกว่าคู่แข่ง
ขณะที่คู่แข่งรายสำคัญอย่าง สหรัฐฯ และบราซิล2 ซึ่งมีจุดแข็งจากต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ต่ำ ปริมาณผลผลิตและ Economy of scale ที่มากกว่า จึงมีความได้เปรียบด้านราคา โดยเฉพาะในการทำตลาดในจีน ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นคู่ค้ารายสำคัญเดียวกับไทย
ส่วนสินค้าไก่แปรรูป (คิดเป็น 72% ของมูลค่าส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ทั้งหมดของไทยไปตลาดโลก) ไทยยังพอแข่งขันได้จากจุดเด่นด้านคุณภาพ มาตรฐานสินค้า เทคโนโลยีการแปรรูปและการพัฒนาสินค้าให้ได้ตามออเดอร์ลูกค้า อย่างไรก็ดี จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว อาจทำให้คู่ค้าในหลายประเทศหันมาเปรียบเทียบด้านราคามากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าไก่แปรรูปจากจีน ซึ่งสามารถทำราคาต่อหน่วยได้ต่ำและมีโอกาสจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้เพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะในตลาดที่เป็นคู่ค้าเดียวกับไทย อาทิ ญี่ปุ่น อังกฤษ เกาหลีใต้ ฮ่องกง เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น
ทั้งนี้ หากมองไปข้างหน้า ทิศทางการส่งออกไก่ของไทยอาจมีความท้าทายแม้ว่าในระยะที่ผ่านมาการส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยที่ขยายตัวได้ดีในตลาดคู่ค้ารายสำคัญ อาทิ ญี่ปุ่น อังกฤษ เกาหลีใต้และกลุ่มประเทศในอาเซียน (อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์) จะมีปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความได้เปรียบและเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขัน ซึ่งมาจากข้อตกลง เขตการค้าเสรี (FTA)
รวมถึงการได้รับรองมาตรฐานการผลิตของโรงงานจากคู่ค้ารายสำคัญ เช่น ญี่ปุ่น สหภาพ ยุโรป จีน เกาหลีใต้และซาอุดีอาระเบีย แต่ด้วยต้นทุนการผลิตไก่ที่สูง โดยเฉพาะต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งต้องพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก ดังนั้นแนวโน้มราคาส่งออกไก่ของไทยจะขึ้นอยู่กับทิศทางราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ในตลาดโลก ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดต่อการเพิ่มความสามารถด้านการแข่งขันด้านราคา
นอกจากนี้ การออกไปขยายฐานการผลิตในต่างประเทศของผู้ประกอบการไทย อาทิ ตุรกีรัสเซีย โปแลนด์เวียดนาม ฯลฯ เพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการ แข่งขันทั้งในเรื่องต้นทุนการผลิตและภาษีนำเข้าที่ต่ำในตลาดคู่ค้า อาจทำให้การส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่จากฐานการผลิตในไทยคงมีข้อจำกัดของการเติบโตในอนาคต
ดังนั้น นอกเหนือจากการที่ภาครัฐที่จะเข้ามาช่วยในเรื่องของการผลักดันให้ประเทศคู่ค้าใหม่เปิดตลาดสินค้าไก่ให้ไทยเพิ่มขึ้น ตลอดจนการเปิดเจรจา FTA ฉบับใหม่กับคู่ค้าที่มีศักยภาพ อาทิ สหภาพยุโรป การรักษาคุณภาพและมาตรฐาน การผลิต ตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นน้ำไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในส่วนปลายน้ำ ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการต้นทุน อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นโจทย์สำคัญของธุรกิจส่งออกไก่ของไทย ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดคู่ค้าที่มีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้น
อนึ่งจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ตลาดโลกในปีนี้ที่มีแนวโน้มย่อตัวลงจากปีก่อน แม้การส่งออกผลิตภัณฑ์ไก่ของไทยจะมีแนวโน้มเติบโต ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าราคาขายปลีกเนื้อไก่ (ไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน) เฉลี่ยทั้งปี 66 น่าจะอยู่ที่ 66-68 บาท/กก. ปรับลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปี 65 ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 70.59 บาท/กก.
ทั้งนี้ จากประเด็นดังกล่าวจึงเป็นที่น่าจับตาสำหรับหุ้นส่งออกไก่อย่าง CPF, TFG และ GFPT ว่าจะได้รับอานิสงส์มากน้อยเพียงใด