ผู้ถือหุ้น FPI เคาะปันผล 0.08 บ. จ่าย 9 พ.ค.นี้ ปักธงปีนี้รายได้ 3 พันล้าน

ผู้ถือหุ้น FPI อนุมัติจ่ายปันผลครึ่งหลังปี 65 หุ้นละ 0.08 บ. เตรียมรับทรัพย์ 9 พ.ค.นี้ ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 3,000 ล้าน ออลไทม์ไฮต่อ ลุยเจาะตลาดลูกค้า EV ดันยอดขายโตกระฉูด


นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI เปิดเผยว่าที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 อนุมัติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงาน ประจำปี 2565 ให้แก่ผู้ถือหุ้นเพิ่มอีกหุ้นละ 0.08 บาท จากผลการประกอบการของบริษัทฯ  งวด 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งถือหุ้นรวมจำนวนทั้งสิ้น 1,513,029,934 หุ้น รวมเป็นเงินปันผลจ่ายในครั้งนี้ 121,042,394.72 บาท โดยได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันที่ 26 เมษายน 2566 (Record Date) และกำหนดจ่ายเงินปันผลภายใน วันที่ 9 พฤษภาคม 2566

ทั้งนี้เมื่อรวมกับเงินปันผลระหว่างกาลที่บริษัทฯได้จ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นแล้วจำนวน 0.08 บาท/หุ้น สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯงวด 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565  จะรวมเป็นเงินปันผลจ่ายในปี 2565 ทั้งสิ้นจำนวนหุ้นละ 0.16 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิน 242,084,789.44 บาท ทั้งนี้ได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล ในวันที่ 26 เมษายน 2566 (Record Date) และกำหนดจ่ายเงินปันผลภายใน วันที่ 9 พฤษภาคม 2566

“สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2566 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2565 ราว 10% ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้ต่อเนื่อง ขณะที่ยอดขายกลุ่มรับจ้างผลิต (OEM) ในปีนี้บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่ลูกค้ากลุ่มรถไฟฟ้า (EV) โดยคาดว่ายอดขายจะเติบโตที่ 700 ล้านบาท และคาดว่ามาร์จิ้นจะอยูที่ราว 30% จากปี 2565 ที่ 500 ล้านบาท และในปี 2567 ที่ 1,000 ล้านบาท” นายสมพลกล่าว

นอกจากนี้ บริษัทฯ  มีแผนรุกขยายไปในตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดอียิปต์ ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจและมีโอกาสเติบโตได้ดี ขณะเดียวกันแผนความร่วมกับพันธมิตรลงทุนในประเทศอียิปต์มีความคืบหน้าไปมากแล้ว ซึ่งการตัดสินใจไปลงทุนสร้างโรงงาน และคลังสินค้าดังกล่าว บริษัทประเมินว่าจะช่วยสนับสนุนให้ประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายในด้านค่าขนส่ง และภาษีนำเข้าได้เป็นอย่างดี และช่วยดันมาร์จิ้นให้เพิ่มขึ้นในส่วนของตลาดโซนแอฟริกาเหนือได้ไม่ต่ำกว่า 15%

Back to top button