“ดาวโจนส์” ปิดลบ 143 จุด นักลงทุนจับตา “บจ.” ประกาศงบ Q1 สัปดาห์หน้า

“ดัชนีดาวโจนส์” ปิดระดับ 33,886.47 จุด ลบ 143.22 จุด คาดนักลงทุนกลับมากังวล “เฟด” ขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง พร้อมจับตา “บจ.” ประกาศงบไตรมาส 1/66 ในช่วงสัปดาห์หน้า


ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (14 เม.ย.) โดยถูกกดดันหลังจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจได้ตอกย้ำการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง  ซึ่งความกังวลดังกล่าวได้บดบังปัจจัยบวกจากการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกที่แข็งแกร่งของธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐ

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,886.47 จุด ลดลง 143.22 จุด หรือ -0.42%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,137.64 จุด ลดลง 8.58 จุด หรือ -0.21% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,123.47 จุด ลดลง 42.81 จุด หรือ -0.35%

หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดตลาดในแดนลบ โดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ร่วงลงหนักที่สุด ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้นมากที่สุด 1.1%

แต่ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 1.2%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.8% และ Nasdaq ปรับตัวขึ้น 0.3% โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกันแล้วซึ่งเป็นการบวกขึ้นรายสัปดาห์ต่อเนื่องยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2565

ซิตี้กรุ๊ป, เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และเวลส์ ฟาร์โก เปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด โดยได้แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และความวิตกที่ลดลงเกี่ยวกับปัญหาในระบบธนาคาร

ดัชนี S&P500 หุ้นกลุ่มธนาคาร พุ่งขึ้น 3.5% และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส พุ่งขึ้น 7.6% ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์วันเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย. 2563

หุ้นซิตี้กรุ๊ป พุ่งขึ้น 4.8% ขณะที่หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ลดลง 0.1%

แต่การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ไร้ทิศทาง อาทิ ยอดค้าปลีก, การผลิตภาคอุตสาหกรรม และความเชื่อมั่นผู้บริโภคนั้น ได้ตอกย้ำการคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนพ.ค.

นอกจากนี้ นายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนตากล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% อาจจะช่วยให้เฟดสามารถยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

FedWatch tool ของ CME บ่งชี้ว่า ตลาดการเงินคาดว่ามีแนวโน้ม 74% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนพ.ค.

หุ้นแบล็คร็อค บริษัทบริหารสินทรัพย์รายใหญ่ที่สุดของโลก พุ่งขึ้น 3.1% หลังเปิดเผยผลกำไรไตรมาสแรกสูงเกินคาด

แต่หุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 5.6% สวนทางตลาด หลังบริษัทยุติการส่งมอบเครื่องบินโบอิ้ง 737 MAXs เนื่องจากเกิดปัญหาด้านคุณภาพของส่วนประกอบเครื่องบินจากบริษัทสปิริต แอร์โรซิสเตมส์ ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์รายหนึ่งของโบอิ้ง โดยหุ้นสปิริต แอร์โรซิสเตมส์ ดิ่งลง 20.7%

หุ้นลูซิด กรุ๊ป อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราร่วง 6.3% หลังเปิดเผยข้อมูลการผลิตและการส่งมอบที่น่าผิดหวังในไตรมาสแรก

โดยในสัปดาห์หน้า นักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทชั้นนำต่าง ๆ อาทิ โกลด์แมนแซคส์, มอร์แกน สแตนลีย์, แบงก์ ออฟ อเมริกา, เน็ตฟลิกซ์ ตลอดจนธนาคารระดับภูมิภาคและบริษัทอุตสาหกรรม

Back to top button