ผู้ว่าธปท. ร่อนจดหมายถึง “รมว.คลัง” แจงเหตุเงินเฟ้อไทยสูง

เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ส่งจดหมายเปิดผนึกถึง "รมว.คลัง" แจงเงินเฟ้อสูงหลุดกรอบเป้าหมาย พร้อมเปิดสาเหตุ และแนวโน้มเงินเฟ้อไทยในช่วงข้างหน้า


นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการเงิน ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงการเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาสูงกว่าขอบบนของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน โดยระบุว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีข้อตกลงร่วมกัน เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 กำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 1-3% เป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง และเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2566 รวมถึงระบุให้กนง.มีจดหมายเปิดผนึกหากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา หรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย

โดยเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2566 กระทรวงพาณิชย์ ได้เผยแพร่ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของเดือนมีนาคม 2566 อยู่ที่ 2.83% ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา (เมษายน 2565-มีนาคม 2566) อยู่ที่ 5.86% ซึ่งสูงกว่าขอบบนของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินในปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี จากการประชุมวันที่ 29 มีนาคม 2566 กนง.ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้า (ไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2567) จะอยู่ที่ 2.6% ซึ่งอยู่ในกรอบเป้าหมาย ดังนั้น กนง.จึงขอเรียนชี้แจงถึง 1.ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาสูงกว่ากรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน 2.ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย และ 3.การดำเนินนโยบายการเงิน เพื่อดูแลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยมีรายละเอียด ดังนี้

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาสูงกว่ากรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาสูงกว่ากรอบเป้าหมายจากแรงกดดันด้านอุปทาน (cost-push inflation) เป็นสำคัญ ซึ่งราคาพลังงานในประเทศปรับเพิ่มขึ้นตามราคาพลังงาน และราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ทำให้อัตราเงินเฟ้อหมวดพลังงานเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงที่ 20.06%

ขณะเดียวกัน ราคาอาหารสดได้ปรับเพิ่มขึ้นทั้งจากราคาเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อสุกรที่มีราคาสูงขึ้นตามอุปทานที่ลดลงมากจากเกิดโรคระบาดในช่วงต้นปี 2565 และราคาผักผลไม้ที่เพิ่มขึ้นตามอุปทานที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แปรปรวน รวมถึงต้นทุนอาหารสัตว์และปุ๋ยที่อยู่ระดับสูง ทำให้อัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสดเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 7.74%

ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้ออุปสงค์ (demand-pull inflation) ปรับเพิ่มขึ้นบ้างตามเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว ส่งผลให้การส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าและบริการอื่นๆ ทำได้มากขึ้น แม้จะยังไม่สามารถส่งผ่านได้เต็มที่ โดยเป็นการส่งผ่านไปยังราคาอาหารสำเร็จรูปเป็นหลัก ทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 2.70% ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย

ทั้งนี้การประชุมวันที่ 29 มีนาคม 2566 กนง.ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในไตรมาส 3/2565 โดยได้ทยอยลดลงต่อเนื่องตามที่ประเมินไว้ และคาดว่าจะเริ่มกลับมาเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเป้าหมายในช่วงไตรมาส 2/2566 จากแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทานที่มีแนวโน้มลดลงตาม ดังนี้

1.ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ปรับลดลง ประกอบดับฐานราคาพลังงานที่สูงในปีก่อนหน้า และ 2.ราคาอาหารสดที่คาดว่าจะปรับลดลงตามต้นทุนอาหารสัตว์และราคาปุ๋ยที่ลดลงจากปัญหาด้านอุปทานที่มีแนวโน้มคลี่คลาย

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงอีกระยะหนึ่งตามการทยอยส่งผ่านต้นทุนที่อยู่ในระดับสูงในช่วงก่อนหน้าที่อาจทำได้มากขึ้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวในระยะต่อไป ก่อนทยอยปรับลดลงจากแนวโน้มต้นทุนที่ลดลง

ทั้งนี้ การทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายของอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางที่ยังคงยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย แสดงถึงความเชื่อมั่นว่านโยบายการเงินจะสามารถรักษาเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลางได้

อย่างไรก็ดี กนง.จะติดตามพัฒนาการของปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น 1.แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ที่อาจเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งอาจเอื้อให้ผู้ประกอบการส่งผ่านต้นทุนได้มากขึ้นหรือเร็วขึ้น และ 2.การทยอยลดมาตรการอุดหนุนราคาพลังงานในประเทศ เพื่อรักษาเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยที่รับภาระค่าไฟฟ้าแทนประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ราคาพลังงานในประเทศปรับลดลงช้ากว่าราคาพลังงานในตลาดโลก

ทั้งนี้ กนง.จะติดตามและวิเคราะห์ความเสี่ยงต่างๆเพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินเป็นไปอย่างเหมาะสมและทันการณ์การดำเนินนโยบายการเงินเพื่อดูแลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสมภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคาควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน กนง.ประเมินว่า การทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังมีความเหมาะสมในบริบทปัจจุบัน เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง

ขณะที่เงินเฟ้อยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตามโดยเฉพาะจากแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่อาจเพิ่มขึ้น โดยกนง.พร้อมปรับขนาดและเงื่อนเวลาของการขึ้นดอกเบี้ยหากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเปลี่ยนไปจากที่ประเมินไว้

นอกจากนี้ กนง.เห็นว่าควรดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเห็นความสำคัญของการมีมาตรการเฉพาะจุดและแนวทางแก้ปัญหานี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพระบบการเงินและไม่เป็นปัจจัยฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า

ทั้งนี้ กนง.จะติดตามปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด เพื่อให้การดำเนินนโยบายการเงินสามารถสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจควบคู่กับการดูแลเสถียรภาพด้านราคาและเสถียรภาพระบบการเงินได้อย่างเหมาะสม

ตามข้อตกลงร่วมกันระหว่างกนง.และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 กนง.จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกครั้งใน 6 เดือนข้างหน้า หาก ณ เวลานั้นอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมา หรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้ายังคงเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย

Back to top button