NER ตั้งเป้าปีนี้ยอดขาย 5 แสนตัน รุกขยายตลาดใน-ตปท. รับดีมานด์พุ่ง
NER ตั้งเป้ายอดขายปีนี้แตะ 5 แสนตัน รุกขยายตลาดใน-ต่างประเทศ เตรียมสร้างโรงงานยางแท่งและยางผสมแห่งที่ 3 กำลังผลิต 1.7 แสนตัน คาดเสร็จปี 67 ตอกย้ำเป็นผู้ผลิตยางธรรมชาติ อันดับ 1 ใน 5 ของไทย
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้ผลิตยางธรรมชาติ อันดับ 1 ใน 5 ของประเทศไทยภายในปี 2567 ตามวิสัยทัศน์ (Vision) ของบริษัท โดยบริษัทมุ่งเน้นการขยายตลาดกลุ่มลูกค้าประเทศต่างๆ รวมถึงอินเดีย ซึ่งตั้งเป้ายอดขายสำหรับประเทศอินเดียประมาณ 10% ของยอดขายปี 2567 ปัจจุบันบริษัทมีการเซ็นสัญญากลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายรายทั้งในประเทศจีน สิงคโปร์ อินเดีย และไทย
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนการขยายกำลังการผลิตสินค้าประเภทยางแท่งและยางแท่งผสม โดยการลงทุนก่อสร้างโรงงานยางแท่งและยางผสมแห่งที่ 3 กำลังการผลิต 172,800 ตัน ใช้งบลงทุนประมาณ 700 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมการปรับปรุงที่ดิน คาดว่าโรงงานจะสร้างเสร็จและเริ่มมีรายได้ในปี 2567 โดยภายหลังจากการขยายกำลังการผลิตดังกล่าว บริษัทจะมีกำลังการผลิตสินค้ารวมทั้งสิ้น 688,400 ตันต่อปี
นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งมั่นที่จะลดต้นทุนการผลิตในการดำเนินงาน เนื่องจากการขยายกำลังการผลิตทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economic of Scale) ทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ภายในโรงงานได้ รวมถึงจะมีการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ภายในโรงงานแห่งที่ 3 เพื่อลดต้นทุนพลังงานเพิ่มเติมด้วย
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2566 บริษัทตั้งเป้าปริมาณขายรวมที่ 5 แสนตันเติบโตจากปีที่แล้วที่มียอดขาย 446,090 ตัน เนื่องจากความต้องการสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นจากประเทศจีนที่เปิดประเทศ และความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มมากขึ้น โดยปี 2565 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้า 25,172.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 746.40 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 3.06% เมื่อเทียบกับปี 2564 และมีกำไรสุทธิรวม 1,748 ล้านบาทซึ่งคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 6.94%
นอกจากนี้ ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ยังมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.38 บาท คิดเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 702.16 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.07 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงิน 129.34 ล้านบาท ที่ได้จ่ายเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2565 โดยคงเหลือเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายในครั้งนี้อีกในอัตราหุ้นละ 0.31 บาท คิดเป็นเงิน 572.81 ล้านบาท การจ่ายเงินปันผล
สำหรับผลการดำเนินงานประจำปี 2565 คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลร้อยละ 40.17 ของกำไรสุทธิหลังจากหักเงินทุนสำรองตามกฎหมาย และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันที่ 21 เมษายน 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 พฤษภาคม 2566