KTIS ปิดหีบอ้อยปี 65/66 กว่า 6.9 ล้านตัน มั่นใจผลงานโต รับราคาน้ำตาลพุ่ง-ผลผลิตเพิ่ม

KTIS เปิดข้อมูลหลังปิดหีบอ้อยฤดูการผลิตปี 65/66 ของ 3 โรงงาน ได้อ้อยรวม 6.9 ล้านตัน สูงกว่าปี 64/65 มั่นใจผลงานปี นี้ดีกว่าปีก่อน รับราคาน้ำตาลพุ่งนิวไฮรอบ 11 ปี ผลผลิตเพิ่ม รับรู้รายได้โรงไฟฟ้า-บรรจุภัณฑ์และหลอดชานอ้อย


นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจอ้อยและน้ำตาล และผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร เปิดเผยข้อมูลผลผลิตอ้อยและน้ำตาลของกลุ่ม KTIS สำหรับฤดูการผลิตปี 2565/66 ว่า มีอ้อยเข้าหีบรวม 6.9 ล้านตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่มากกว่าผลผลิตอ้อยของฤดูการผลิตปี 2564/2565 ซึ่งอยู่ที่ 6.2 ล้านตัน  และผลิตน้ำตาลทรายได้ 7.9 ล้านกระสอบ สูงกว่าปีก่อนที่ผลิตน้ำตาลทรายได้ 6.4 ล้านกระสอบ คิดเป็นปริมาณน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นถึง 23.4%

ทั้งนี้ เมื่อเทียบผลผลิตอ้อยและน้ำตาลของกลุ่ม KTIS กับภาพรวมของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลรวมทั้งประเทศ ฤดูการผลิตปี 2565/2566 ซึ่งมีอ้อยรวม 93.9 ล้านตัน และผลิตน้ำตาลได้ 110.2 ล้านกระสอบ พบว่า สัดส่วนอ้อยและน้ำตาลของกลุ่ม KTIS เมื่อเทียบกับทั้งอุตสาหกรรมอยู่ที่ 7.35% และ 7.17% ตามลำดับ สูงขึ้นกว่าปีก่อนที่มีสัดส่วน 6.73% และ 6.30% ตามลำดับ สะท้อนความมุ่งมั่นในการส่งเสริมและพัฒนาอ้อย พร้อมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง

“ที่สำคัญคือ คุณภาพอ้อยปีนี้ดีขึ้นกว่าปีก่อนมาก โดยค่าความหวานของอ้อยทั้งกลุ่ม KTIS ปีนี้เฉลี่ยสูงถึง 13.08 C.C.S. ในขณะที่ปีก่อนเฉลี่ยเพียง 12.09 C.C.S. ทำให้ผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อย (ยิลด์) ปีนี้สูงถึง 114.7 กิโลกรัมต่อตันอ้อย โดยเฉพาะโรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 โรงงานของกลุ่ม KTIS ได้ค่าความหวานอ้อยปีนี้เฉลี่ยสูงถึง 13.35 C.C.S. และได้ผลผลิตน้ำตาลสูงถึง 120.4 กิโลกรัมต่อตันอ้อย” นายสมชายกล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจน้ำตาล และผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าวด้วยว่า ปริมาณอ้อยที่เพิ่มขึ้นส่งผลดีต่อทุกสายธุรกิจ  ประกอบกับราคาผลผลิตที่สูงขึ้น ทั้งราคาน้ำตาลทรายตลาดโลกที่สูงที่สุดในรอบ 11 ปี ราคาขายเอทานอล เยื่อกระดาษ และไฟฟ้า ก็สูงขึ้นด้วย จึงมั่นใจว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS ในปี 2566 นี้ จะดีขึ้นกว่าปีก่อนค่อนข้างมาก

โดยในปีนี้ บริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยบริสุทธิ์ 100% ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงถึง 50 ตันต่อวัน หรือประมาณ 3 ล้านชิ้นต่อวัน และยังมีรายได้ที่จะเข้ามาเพิ่มเติมจากโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC) เฟส 1 ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท จีจีซี เคทิสไบโออินดัสเทรียล จำกัด หรือ GKBI บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม KTIS และกลุ่ม ปตท. ซึ่งมีโรงงานผลิตเอทานอลจากน้ำอ้อย กำลังการผลิต 6 แสนลิตรต่อวัน และโรงไฟฟ้ากำลังการผลิตติดตั้งรวม 85 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 520 ตัน โดยมีสัญญาขายไฟฟ้า 30 เมกะวัตต์

Back to top button