ITC กางแผนปีนี้ขยายธุรกิจ 2.1 พันล้าน หลัง Q1 กำไรเหลือ 425 ล้านบาท
ITC รายงานงบไตรมาส 1/66 กำไรแตะ 425.15 ล้านบาท ลดลง 54% จากปีก่อนมีกำไร 924.10 ล้านบาท เหตุรายได้ขายอาหารสัตว์ลดลง รวมถึงค่าใช้จ่ายและบริหารเพิ่มขึ้น พร้อมกางแผนปีนี้ ลุยขยายธุรกิจกว่า 2.1 พันล้านบาท
บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/66 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2566 ดังนี้
สำหรับ ITC รายงานงบไตรมาส 1/2566 มีกำไรสุทธิ 425.15 ล้านบาท ลดลง 53.99% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 924.10 ล้านบาท สาเหตุจากรายได้จากการขายอยู่ที่ 3,586.8 ล้านบาท ลดลง 16.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน 4,307.2 ล้านบาท ด้วยสาเหตุหลักจากยอดขายอาหารสัตว์ที่ลดลง 18.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน อันเป็นผลมาจากปริมาณสินค้าคงเหลือค้างส่งในช่วงไตรมาส 3/2565 โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากลูกค้าในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ส่วนประสมของผลิตภัณฑ์ รายได้จากค่าระวางสินค้าที่ลดลง 3.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน รวมถึงราคาขายที่ลดลงเนื่องจากการเพิ่มขึ้ของยอดขายเศษซากและวัตถุดิบอาหารทะเล
อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้น 13.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้นซึ่งเกี่ยวข้องกับการขยายธุรกิจ ค่าใช้จ่ายทางการตลาด และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องภายหลังการเสนอขายหุ้นออกใหม่ต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IP0) อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 8.4% เมื่อเทียบกับ 6.2% ในไตรมาส 1/2565 ซึ่งเกิดจากอัตราการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารน้อยกว่าอัตราการลดลงของยอดขายเมื่อเทียบกับปีก่อน
ด้าน นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ITC กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาภาคธุรกิจต้องเผชิญกับความติดขัดด้านการขนส่งสินค้าทั่วโลก แต่สถานการณ์ดังกล่าวได้คลี่คลายลง ทำให้บริษัทมองว่าการระบายสินค้าคงคลังของลูกค้าในช่วงต้นปี 2566 เป็นปัจจัยระยะสั้นและมีสัญญาณที่ดีในไตรมาสถัดไป และคาดว่าการจัดการสินค้าคงคลังจะกลับมาสู่สภาวะปกติในช่วงไตรมาส 2/2566
นอกจากนี้ ยังได้วางกลยุทธ์ในการเติบโตของธุรกิจและมุ่งมั่นขยายธุรกิจกับลูกค้าปัจจุบันและลูกค้ารายใหม่ ซึ่งบริษัทได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหญ่ของบริษัท ทั้งช่องทางอีคอมเมิร์ซ และประเภทสินค้าสั่งผลิตภายใต้แบรนด์ซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส ที่มีแผนในการส่งมอบสินค้าในไตรมาส 2/2566 นี้ อีกทั้งสินค้าชนิดพรีเมียมได้เริ่มทยอยกลับมา และยังมีลูกค้ารายใหม่และรายใหญ่เพิ่มเติมเข้ามาอีกด้วย มั่นใจว่าบริษัทจะทำผลงานได้ดีในช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งในแง่ของยอดขายและความสามารถในการทำกำไร
ทั้งนี้ ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น ยังได้เผยกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจไปยังตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่มีการสั่งผลิตภายใต้แบรนด์ของซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ เปิดตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง เช่น ประเทศจีน ผ่านความร่วมมือกับหนานจิง เจียเป่ย เพ็ทแคร์ โปรดักส์ ที่ได้ลงนามในความร่วมมือเมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีแผนนำส่งสินค้าล็อตแรกภายในไตรมาส 2/2566 รวมถึงการขยายธุรกิจในส่วนของขนมทานเล่นของสัตว์เลี้ยง บริษัทยังได้มีแผนที่จะเปิดตัวศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารแมวหรือ i-Cattery ที่ตั้งอยู่ ณ มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขต ศาลายา ในเดือนพฤษภาคมนี้อีกด้วย
“สำหรับการลงทุน บริษัทยังคงเดินหน้าแผนการลงทุนขยายธุรกิจกว่า 2.1 พันล้านในปีนี้ และกำลังดำเนินการก่อสร้างโรงงานใหม่ในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตอาหารเปียกและขนมทานเล่นของสัตว์เลี้ยงขึ้นอีก 18.7 เปอร์เซ็นต์ และในโรงงานใหม่นี้จะมีไลน์บรรจุหีบห่อแบบอัตโนมัติ คาดว่าจะสามารถเริ่มผลิตได้ภายในปีนี้ บริษัทยังคงลงทุนในโครงการต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ ได้แก่ คลังสินค้าอัตโนมัติในโรงงานที่จังหวัดสมุทรสาครและสงขลา เครื่องจักรสำหรับโรงงานต้นแบบ รวมถึงโครงการวิจัยและพัฒนาและนวัตกรรม” นายพิชิตชัย กล่าว
สำหรับไตรมาสแรกของปี 2566 ไอ-เทลมีสัดส่วนของยอดขายในภูมิภาคอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ อยู่ที่ 50.3 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด ขณะที่เอเชียและโอเชียเนียอยู่ที่ 36.3 เปอร์เซ็นต์ และยุโรปอยู่ที่ 13.4 เปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้ตลาดที่มีการเติบโตสูงได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น จีน และไทย ในส่วนของยอดขายแบ่งตามประเภทของสินค้าหลัก 3 ประเภท ได้แก่ อาหารแมว 66.9%, อาหารสุนัข 16.6%, ขนมทานเล่นของสัตว์เลี้ยง 13.9% และธุรกิจอื่นๆ อีก 2.6%