DFPI สั่งปิด “เฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์” อีกราย! “เจพีมอร์แกน” จ่อฮุบทันที

สหรัฐฯ ประกาศปิด “เฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์” อีกราย ลงทุนผิดพลาดและลูกค้าแห่ถอนเงินออกจากธนาคารจนเกิดความเสียหาย “บลูมเบิร์ก” รายงาน “เจพีมอร์แกน” เตรียมเข้าซื้อกิจการ


สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า หน่วยงานกำกับดูแลจะเข้าควบคุมธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์ (FRB) และจะให้เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค เข้าซื้อกิจการ FRB หลังจากที่ FRB ลงทุนผิดพลาดและลูกค้าแห่ถอนเงินออกจากธนาคารจนเกิดความเสียหายต่อภาคธนาคารในระดับภูมิภาค

กรมคุ้มครองการเงินและนวัตกรรมแห่งแคลิฟอร์เนีย (DFPI) ออกแถลงการณ์ว่าเจพีมอร์แกนจะ “รับเอาเงินฝากทั้งหมด รวมถึงเงินฝากที่ไม่ได้รับความคุ้มครองทั้งหมด ตลอดจนสินทรัพย์ที่สำคัญทั้งหมด” ของ FRB

ทั้งนี้ DFPI ได้เลือกให้บรรษัทรับประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) เป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของ FRB “เงินฝากจะได้รับการคุ้มครองโดยรัฐบาลกลางผ่าน FDIC ตามวงเงินที่กำหนด”

โดยการเข้าซื้อ FRB ครั้งนี้จะทำให้เจพีมอร์แกน ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐมีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งที่ตามปกติแล้ว ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบของสหรัฐจะบังคับขนาดและสัดส่วนฐานเงินฝากของเจพีมอร์แกนไม่ให้ใหญ่ไปกว่านี้ นอกจากนี้ ยังขัดแย้งกับท่าทีก่อนหน้านี้ของผู้แทนจากพรรคเดโมแครตคนสำคัญและฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่ได้แสดงความกังวลต่อการควบรวมกิจการในอุตสาหกรรมการเงินและภาคส่วนอื่น ๆ

นอกจากนี้ ทางเจพีมอร์แกนเองก็มีบทบาทสำคัญในปัญหาของ FRB มาโดยตลอด โดยเจพีมอร์แกนเป็นฝ่ายให้คำแนะนำแก่ FRB ที่พยายามมองหาวิธีแก้ไขวิกฤต และนายเจมี ไดมอน ซีอีโอของเจพีมอร์แกน ก็เป็นกุญแจสำคัญในการโน้มน้าวใจผู้บริหารธนาคารต่าง ๆ ให้อัดฉีดเงินฝาก 3 หมื่นล้านดอลลาร์แก่ FRB เพื่อเสริมแกร่งทางการเงิน หลังลูกค้า FRB จำนวนมากแห่ถอนเงินออกในเดือนมี.ค.

ทั้งนี้ เฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์ เป็นธนาคารที่มุ่งเน้นการให้บริการไพรเวทแบงกิ้งแก่ผู้ที่มีฐานะร่ำรวย ก่อตั้งขึ้นในปี 2528 โดยนายจิม เฮอร์เบิร์ต ประธานบริษัท ด้วยพนักงานไม่ถึง 10 คน ต่อมาในเดือนก.ค. 2563 FRB ได้รับการจัดอันดับให้เป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่ 14 ในสหรัฐ โดยมีสำนักงาน 80 แห่งใน 7 รัฐ และเมื่อปลายปีที่แล้วก็มีการจ้างงานมากกว่า 7,200 คน

เช่นเดียวกับธนาคารอื่น ๆ ในระดับภูมิภาค FRB มีช่วงเวลาที่ยากลำบากเมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลกระทบต่อมูลค่าของพันธบัตรและเงินกู้ยืมที่ FRB ได้ซื้อไปก่อนหน้านี้ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยยังต่ำ ขณะเดียวกัน ลูกค้าก็แห่ถอนเงินออกจากธนาคาร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลูกค้าต้องการได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าจากที่อื่น และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของธนาคาร

ผลก็คือ FRB ประสบปัญหาใหญ่เนื่องจากไม่มีเงินเพียงพอที่จะดำเนินกิจการต่อไปได้ แต่ก็ไม่มีใครอยากเข้ามาช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ความกังวลเริ่มก่อตัวมากขึ้นในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมาเมื่อ FRB รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกและมีข่าวว่ากำลังพยายามขายสินทรัพย์บางส่วน ตลอดจนประกาศแผนการลดพนักงานมากถึง 25% ลดสินเชื่อคงค้าง และตัดกิจกรรมที่ไม่จำเป็นออก

ธนาคาร 11 แห่งในสหรัฐพยายามช่วย FRB โดยอัดฉีดเงินฝากใหม่จำนวน 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในวันที่ 16 มี.ค. โดยเจพีมอร์แกน, แบงก์ ออฟ อเมริกา, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก ต่างก็ทุ่มเงินรายละ 5 พันล้านดอลลาร์ ส่วนธนาคารอื่น ๆ เช่น โกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนลีย์ ให้เงินจำนวนน้อยกว่า โดยทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่จัดทำขึ้นร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐ ยิ่งไปกว่านั้น FRB ยังได้รับความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องจากคณะกรรมการธนาคารกลางสินเชื่อที่อยู่อาศัย (FHLB) และจากเฟดอีกด้วย

อย่างไรก็ดี ทั้งหมดที่กล่าวมาก็ไม่เพียงพอจะช่วย FRB ได้ โดยราคาหุ้นของธนาคารซึ่งเคยสูงถึง 170 ดอลลาร์ในเดือนมี.ค. ร่วงลงต่ำกว่า 5 ดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนเม.ย. การล่มสลายของ FRB จะไม่เพียงส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นสามัญเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหุ้นบุริมสิทธิมูลค่า 3.6 พันล้านดอลลาร์ และตั๋วเงินที่ไม่มีหลักประกันอีก 800 ล้านดอลลาร์อีกด้วย

อนึ่ง FRB ได้มีการเปลี่ยนมือเจ้าของมาหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2550 เมอร์ริล ลินช์ จ่ายเงิน 1.8 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อกิจการ ต่อมากรรมสิทธิ์ตกเป็นของแบงก์ ออฟ อเมริกา ที่เข้าซื้อเมอร์ริล ลินช์ ในปี 2552 และเปลี่ยนมืออีกครั้งในช่วงกลางปี 2553 เมื่อบริษัทด้านการลงทุนหลักทรัพย์ เช่น เจเนอรัล แอตแลนติก และโคโลนี แคปิตอล เข้าซื้อ FRB ในราคา 1.86 พันล้านดอลลาร์แล้วเปลี่ยนให้เป็นบริษัทมหาชน

Back to top button