ดาวโจนส์ดิ่งเฉียด 500 จุด เซ่นเทขายกลุ่ม “แบงก์-พลังงาน” ถล่มตลาด
ดัชนีดาวโจนส์ร่วงอยู่ที่ 461 จุด หรือ 1.35% ถูกกดดันจากการทรุดตัวของหุ้นกลุ่มพลังงานลงเกือบ 4% ตามราคาน้ำมันที่ดิ่งลงในตลาดโลก และกลุ่มธนาคารร่วงลงกว่า 2% หลังกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนว่า ภาคธนาคารของสหรัฐยังคงมีความเปราะบาง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ 2พ.ค. 66 ณ เวลา 21:37 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,591.13 จุด ลบ 460.57 จุด หรือ 1.35% โดยถูกกดดันจากการทรุดตัวของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร
โดยหุ้นกลุ่มพลังงานทรุดตัวลงเกือบ 4% ตามราคาน้ำมันที่ดิ่งลงในตลาดโลก ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน
ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงกว่า 2% หลังกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนว่า ภาคธนาคารของสหรัฐยังคงมีความเปราะบาง แม้เจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เข้าซื้อกิจการของเฟิร์สท์ รีพับลิก แบงก์
นอกจากนี้ นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับเพดานหนี้สหรัฐ หลังจากที่นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เตือนว่า สหรัฐอาจเผชิญการผิดนัดชำระหนี้ภายในวันที่ 1 มิ.ย. หากสภาคองเกรสไม่ปรับเพิ่มเพดานหนี้ก่อนเส้นตายในวันดังกล่าว
ขณะเดียวกัน นักลงทุนขายลดความเสี่ยง ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเปิดเผยผลการประชุมนโยบายการเงินในวันพรุ่งนี้
ส่วนนักลงทุนเทน้ำหนักเกือบ 100% ต่อคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินรอบนี้ พร้อมกับยุติวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ได้ดำเนินมานับตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งเฟดได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 9 ครั้งติดต่อกันรวม 4.75%
อย่างไรก็ตามหากเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในครั้งนี้ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ก็จะทำให้เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย 10 ครั้งติดต่อกันรวม 5.00%
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 96.2% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค. และให้น้ำหนักเพียง 3.8% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.75-5.00%
นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเดือนมิ.ย., ก.ค. และก.ย. ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% ในการประชุมเดือนพ.ย. และปรับลดอีก 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมเดือนธ.ค.
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% ในการประชุมเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2550 และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 9 ติดต่อกันนับตั้งแต่ที่เฟดเริ่มวัฏจักรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.2565
อย่างไรก็ดี เฟดส่งสัญญาณใกล้ยุติวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดสู่ระดับ 5.1% ในปีนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้งหลังการประชุมในเดือนมี.ค. นอกจากนี้ เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.8% ในปี 2567 และ 1.2% ในปี 2568