ORI ลุ้นไตรมาส 2 โตแกร่ง ยอดโอนพุ่ง พ่วงอัพไซด์ 16%
บล.เอเซีย พลัส คาดว่า ORI แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/66 ยังเติบโตได้ดีจากช่วงเดียวปีก่อน ขณะที่ไตรมาส 2/66 เติบโตต่อเนื่องจากโอนฯ คอนโดฯ JV ใหม่ และขาย Big Lot ห้องชุดใน 3 คอนโดฯ พร้อมอยู่ มูลค่า 2.4-3.5 พันล้านบาท ให้แก่ Real X จะช่วยผลักดันต่อยอดโอนฯ และส่วนแบ่งกำไรสูงขึ้น คงแนะนำ "Outperform" ราคาเป้าหมายสิ้นปี 66 ที่ 13.15 บาท เหลืออัพไซด์ 16%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แนวโน้มผลประกอบการของ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) จะเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 1 ปี 2566 และจะชัดเจนมากขึ้นช่วงไตรมาส 2 ปี 2566 นี้ เนื่องจากมีการโอนคอนโดมีเนียม JV ใหม่ และขาย Big Lot ห้องชุดใน 3 คอนโดฯ เข้ามาสนับสนุน
โดยเป็นไปตาม บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า งวดไตรมาส 1 ปี 2566 คาดกำไรสุทธิ 764 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน แต่ลดลง 26% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งในส่วนนี้รวมกำไรขายเงินลงทุนบริษัทย่อยให้กับบริษัทร่วมทุน หรือ JV (หลังภาษี) ราว 96 ล้านบาท (เทียบกับ237 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2565 และ 63 ล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2565
อย่างไรก็ดีหากไม่รวมรายการดังกล่าว ประเมินกำไรปกติอยู่ที่ 668 ล้านบาท เติบโต 33.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน แต่ลดลง 31% จากไตรมาสก่อน ตามปัจจัยฤดูกาลที่ปกติไตรมาส 4 มียอดโอนฯ สูงสุดของปี) ขับเคลื่อนจากการรับรู้รายได้บริหารโครงการร่วมทุน (JV) คาดสูงถึง 820 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 203% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 39% จากไตรมาสก่อน ซึ่งเกิดจากการ
บริหารโครงการร่วมทุนทั้งกลุ่มคอนโดฯ และแนวราบที่เพิ่มขึ้นมาก
นอกจากนี้การโอนฯ ต่อเนื่องของกลุ่มโครงการ JV เฉพาะอย่างยิ่งคอนโดฯ Park Origin ทั้ง Park ทองหล่อ และราชเทวี ที่เริ่มส่งมอบตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2565 และโครงการใหม่ Park จุฬา-สามย่าน มูลค่า 4.6 พันล้านบาท ยอดจอง 98% เริ่มโอนฯ ปลายมี.ค. ราว 9% รวมถึง The Origin ลาดพร้าว มูลค่า 2 พันล้านบาท ขาย 65% คาดโอนฯ 10% เมื่อปลายไตรมาส 1 ปี 2566 ทำให้รับรู้ส่วนแบ่งกำไร
บริษัทร่วม 40 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 48 ล้านบาทงวดปีก่อน แต่ลดลงจาก 328 ล้านบาทงวดก่อน ซึ่งมีปริมาณการโอนฯ จำนวนมาก
โดยทั้งหมดนี้ชดเชยได้กับยอดโอนฯ ของบริษัทเองคาดที่ 2.1 พันล้านบาท ลดลง 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน และลดลง 26% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากไม่มีการส่งมอบโครงการคอนโดฯ ใหม่ และแนวราบเปิดขายโครงการใหม่เพียง 1 โครงการ ซึ่งน้อยสุดของปี รวมถึง Gross Margin ขายฯ คาดที่ 33.8% ลดลงจากเฉลี่ย 35% งวดปีก่อน ตามสัดส่วน Product Mix ซึ่งปีก่อนมีสัดส่วนโอนฯ คอนโดฯ ที่มีมาร์จิ้นสูงมากกว่างวดปีนี้
ขณะที่มีการประเมินการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2566 คาดเติบโตเด่นชัดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน นอกจากมีปัจจัยสนับสนุนจากการโอนฯ มากขึ้นและเต็มไตรมาสของ 2 คอนโดฯ ใหม่อย่าง Park จุฬา-สามย่าน และ The Origin ลาดพร้าว ที่เริ่มเมื่อปลายไตรมาส 1 ปี 2566 รวมถึงการส่งมอบอีก 1 โครงการใหม่ The Origin สุขุมวิท สายลวด E22 (มูลค่า 1.8 พันล้านบาท ยอดขายราว 80%) ที่จะเกิดขึ้นไตรมาส 2 ปี 2566 แล้วแผนการขาย Big Log จำนวนไม่เกิน 361 ยูนิตใน 3 โครงการคอนโดฯ พร้อมอยู่ 2 โครงการเป็นของ ORI และ 1 โครงการ JV คือ Park พร้อมพงษ์ (ไม่เกิน 138 ยูนิต), Park พญาไท (ไม่เกิน 123 ยูนิต) และ Park ทองหล่อ (JV) ไม่เกิน 100 ยูนิต มูลค่าในกรอบ 2.4- 3.5 พันล้านบาท ให้แก่บริษัท เรียล เอสเตท เอกซ์ โพเนนเชียล จำกัด ที่เป็นผู้ออกโทเคนเพื่อดิจิทัลเพื่อการลงทุน (โทเคนดิจิทัลฯ) รูปแบบ Condo-Backed Token ภายใต้ชื่อเรียล-เอ็กซ์ (RealX Investment Token)
โดยจะเปิดเสนอขายโทเคนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (ICO) มูลค่าไม่เกิน 3.5 พันล้านบาท (อิงราคา 182 บาทต่อโทเคน และจำนวนไม่เกิน 19.23 ล้านโทเคน) ในวันที่ 12-23 มิ.ย. 2566 โดยมีบริษัท โทเคน เอ็กซ์ จำกัด (Token
X) ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้กลุ่ม SCBX เป็นผู้สนับสนุนด้านเงินทุนให้กับบริษัท เรียล เอสเตท เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด ในการทำหน้าที่ระดมทุนผ่านการออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน เพื่อนำเงินมาซื้อหุ้นชุดในโครงการ ทั้งนี้หากธุรกรรมการขาย Big Lot ข้างต้นเกิดขึ้น ย่อม
หนุนต่อยอดโอนฯ และส่วนแบ่งกำไรไตรมาส 2 ปี 2566 เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ คงแนะนำ Outperform สำหรับ ORI ที่ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 เท่ากับ 13.15 บาท (อิง SOTP) จากทิศทางกำไรปกติไตรมาส 1 ปี 2566 ที่ยังเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวของปีก่อน ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 2 ปี 2566คาดโดดเด่นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวปีก่อน และจากไตรมาสก่อน ส่วนครึ่งหลังของปี 2566 ยังมีแรงหนุนจากการส่งมอบคอนโดฯ ใหม่ 6 โครงการ และเปิดแนวราบใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะไตรมาส 4 ปี 2566 คาดผลักดันกำไรปกติปีนี้เติบโตมากกว่ากลุ่มฯ ในระดับ 18% และทำจุดสูงสุดใหม่อยู่ที่ 3.35 พันล้านบาท
นอกจากนี้ผลตอบแทนเงินปันผลต่อปีที่จูงใจมากกว่า 6% จะเพิ่มความน่าดึงดูดใจในการลงทุน โดยช่วงสั้นมีแรงหนุนจากเงินปันผลครึ่งหลังของปี 2565 หุ้นละ 0.57 บาท หรือ 4.8% ที่จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 8 พ.ค. นี้
อย่างไรก็ตามหากดูว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายเท่าไร โดย ณ ราคาหุ้นปิดเมื่อวันที่ 3 พ.ค.2566 อยู่ที่ระดับ 11.60 บาท เทียบกับราคาเป้าหมาย 13.15 บาท จะมีอัพไซด์ 16.38%