TOP กำไร Q1 วูบ 36% เหลือ 4.55 พันล้าน เซ่นขาดทุนสต๊อกน้ำมัน
TOP กำไรไตรมาส 1/66 วูบ 36% เหลือ 4.55 พันล้านบาท จากงวดเดียวกันปีก่อน 7.18 พันล้านบาท เซ่นขาดทุนสต๊อกน้ำมัน
บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2566
โดยในไตรมาส 1/65 กับไตรมาส 1/65 กลุ่มไทยออยล์มีปริมาณวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิตของกลุ่มเพิ่มขึ้น โดยมีรายได้จากการขายไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 1.15 แสนล้าน เพิ่มขึ้น 1,437 ล้านบาท จากไตรมาส 1/65 อยู่ที่ 1.14 แสนล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน น้ำมันเพิ่มขึ้น 4.2 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาน้ำมันอากาศยาน น้ำมันก๊าดและ น้ำมันดีเซล เทียบกับน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังสถานการณ์โควิด-19 ในหลายประเทศเริ่มคลี่คลาย
อีกทั้งส่วนต่างราคาน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานและยางมะตอยกับน้ำมันเตาปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมันเตาที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับ ไตรมาส 1/65 อีกทั้งส่วนต่างราคาสารพาราไซลีนและเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากอุปสงค์ในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวสูงขึ้น หลังจีนได้ผ่อนปรน มาตรการโควิดเป็นศูนย์
ในขณะที่ส่วนต่างราคาสารเบนซีนกับน้ำมันเบนซิน 95 ปรับลดลงจากอุปทานที่เพิ่มเข้ามาและปริมาณสารเบนซีนคงคลังใน ประเทศจีนที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ประกอบกับธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาดมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากอุปสงค์ ภายในประเทศที่ลดลง
นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบรวมถึง Crude Premium ที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 3,339 ล้านบาท ในไตรมาส 1/66 เทียบกับกำไรจากสต๊อกนน้ำมัน 14,472 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
ด้านนายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ TOP เปิดเผยว่า “ไตรมาส 1/66 กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 4,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนจากภาพรวมธุรกิจที่ดีขึ้น และราคาน้ำมันดิบยังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากราคาเฉลี่ย ณ ไตรมาส 4/65 หลังจากตลาดคลายความกังวลต่ออุปทานน้ำมันดิบตึงตัว ประกอบกับความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อ ทำให้บริษัทฯ ยังต้องรับรู้ผลขาดทุนราคาสต็อกน้ำมัน
อย่างไรก็ตามส่วนต่างราคาน้ำมันดิบที่ใช้กลั่นจริงเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบ (Crude Premium) ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญได้ปรับลดลงตาม ทำให้ธุรกิจการกลั่นยังมีผลการดำเนินงานที่ดี ธุรกิจอะโรเมติกส์ปรับตัวดีขึ้นจากอุปสงค์ในภูมิภาคเอเชียปรับตัวสูงขึ้น หลังประเทศจีนมีนโยบายเปิดประเทศและยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ และธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน มีผลการดำเนินงานดีขึ้นจากอัตราการเดินเครื่องเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากการปิดซ่อมบำรุงใหญ่ในไตรมาส 4/2565 แล้วเสร็จ ในขณะที่ธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์สารทำความสะอาดมีอัตรากำไรขั้นต้นลดลง เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศปรับตัวลดลง ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันอยู่ที่ 11.8 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
นายบัณฑิต กล่าวเพิ่มเติมว่า “ภาพรวมธุรกิจกลุ่มไทยออยล์ ปี 2566 คาดว่า จะปรับตัวสู่ระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ของประเทศจีนที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่ยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ อย่างไรก็ตาม ตลาดน้ำมันมีแนวโน้มลดความตึงตัวลง เนื่องจากประเทศรัสเซียสามารถส่งออกน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปได้ใกล้เคียงกับระดับปกติ ขณะที่เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงต่อภาวะชะลอตัว ทั้งนี้ ไทยออยล์ยังคงเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับความท้าทายจากปัจจัยภายนอกที่มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างผลการดำเนินงานที่มั่นคงต่อไป”