6 หุ้นบิ๊กแคปเด้ง อัพไซด์เปิดกว้าง แพนิก “ก้าวไกล” เขย่าหุ้นเจ้าสัว ปิดดีลตั้งรัฐบาล
6 หุ้นบิ๊กแคปเด้ง GULF-ADVANC-INTUCH-TRUE-CPALL-MAKRO อัพไซด์เปิดกว้าง แพนิก "ก้าวไกล" เขย่าหุ้นเจ้าสัว! หลังประกาศปิดดีลตั้งรัฐบาล 310 เสียง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (15 พ.ค. 2566) หลังจากตัวเลขผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ออกมา ปรากฏว่าพรรคก้าวไกลได้คะแนนสูงสุด 152 เสียง ตามด้วยพรรคเพื่อไทย 141 เสียง ทำให้พรรคก้าวไกลกลายเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป แต่ด้วยแนวนโยบายพรรคก้าวไกล สร้างความกังวลต่อเซ็นติเมนต์เชิงลบ จนเกิดแรงเทขายออกมาอย่างหนัก ในบรรดาหุ้นขนาดใหญ่ (บิ๊กแคป) ที่มีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อดัชนีโดยรวม
โดยเป็นเหตุให้ดัชนีหุ้นไทยปรับลงมาปิดที่ 1,541.38 จุด ติดลบ 19.97 จุด หรือ 1.28% อาทิเช่นหุ้นบิ๊กแคปปรับลงจนกดให้ดัชนีรูดหนักดังกล่าว นำโดยบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ราคาปิดที่ 48 บาท ลดลง 4.50 บาท หรือ 8.57% มีผลต่อดัชนี 4.32 จุด
บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ราคาปิดที่ 211 บาท ลดลง 10 บาท หรือ 4.52% มีผลต่อดัชนี 2.40 จุด
บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH ราคาปิดที่ 72.50 บาท ลดลง 5.25 บาท หรือ 6.75% มีผลต่อดัชนี 1.37 จุด
ขณะที่ หุ้นบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ราคาปิดที่ 7.05 บาท ลดลง 0.60 บาท หรือ 7.84% มีผลต่อดัชนี 1.69 จุด
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ราคาปิดที่ 64.75 บาท ลดลง 1.75 บาท หรือ 2.63% มีผลต่อดัชนี 1.28 จุด
บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO ราคาปิดที่ 39.25 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ 2.48% มีผลต่อดัชนี 0.86 จุด
ด้านนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” ออกอากาศทางข่าวหุ้นทีวีออนไลน์ และ FM 102 MHz ว่า การปรับตัวลงของหุ้นขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้น ถือเป็นการปรับตัวตามเซ็นติเมนต์เท่านั้น ไม่ใช่ปรับลงจากปัจจัยพื้นฐาน ดังนั้นหากหุ้นตัวไหนปรับตัวลงมาก แต่ปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง เท่ากับว่า P/E ลดลงไป ทำให้อัพไซด์เพิ่มขึ้น จึงถือเป็นโอกาสการเข้าซื้อสะสมเพื่อลงทุน เพราะสุดท้ายแล้วหากหุ้นปรับลงลึกด้วยเซ็นติเมนต์ สุดท้ายราคาหุ้นก็จะฟื้นกลับมาสู่พื้นฐานได้
ทั้งนี้จากการสำรวจของ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” พบว่าจากราคาเป้าหมาย Consensus ทั้ง 6 หุ้น เมื่อเทียบกับราคาที่ปรับตัวลง ทำให้หุ้นมีอัพไซด์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ GULF ราคา Consensus เฉลี่ย 59 บาท มีอัพไซด์ 22.92%, ADVANC ราคา Consensus เฉลี่ย 238.45 บาท มีอัพไซด์ 13.01%, INTUCH ราคา Consensus เฉลี่ย 82.61 บาท มีอัพไซด์ 13.94% ส่วน TRUE ราคา Consensus เฉลี่ย 9.06 บาท มีอัพไซด์ 28.51%, CPALL ราคา Consensus เฉลี่ย 74.28 บาท มีอัพไซด์ 14.72% และ MAKRO ราคา Consensus เฉลี่ย 44 บาท มีอัพไซด์ 12.10%
โบรกฯ มองบวกและลบ
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุถึงกรณีที่พรรคก้าวไกลได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล 309 เสียงนั้น ก็ต้องยอมรับว่าเป็นระดับคะแนนที่ค่อนข้างเยอะ ซึ่งถ้ามีเสียงของส.ว.โหวตมาให้ด้วย ก็จะทำตลาดฯ ตอบรับเชิงบวก
ในช่วงสั้นตลาดฯ ก็ได้รับจิตวิทยาลบในเรื่องนโยบายส่วนหนึ่งของพรรคก้าวไกล ซึ่งจะเห็นว่าหุ้นกลุ่มทุนใหญ่มีการพักฐานลงไปบ้าง แต่โดยภาพรวมก็คงไม่ได้กระทบพื้นฐานระยะสั้นในหุ้นบิ๊กแคป เพราะว่าหลาย ๆ ตัว พรรคก้าวไกลก็ชัดเจนว่าในโปรเจกต์โครงการที่เดินหน้าไปแล้วก็ไม่ได้ไปมีการปรับอะไร ส่วนในระยะกลางนั้นก็ต้องรอดูก่อนว่าจะมีการฟอร์มรัฐบาล และดูคะแนนเสียงว่ามากน้อยแค่ไหน
ส่วนเรื่องของความเชื่อมั่น ก็ต้องดูไปถึงทีมเศรษฐกิจของรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ที่ตลาดมีความเชื่อมั่น ถ้าทีมร่วมรัฐบาลออกมาแล้วดูแข็งแรง แบบนี้ตลาดก็จะตอบรับเชิงบวก เพราะเมื่อรวมคะแนนเสียงได้เกิน 300 เสียง ก็มองว่าเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพแล้ว
ทั้งนี้ นโยบายหลักพรรคแกนนำก้าวไกลที่มีแนวโน้มสนับสนุนรัฐสวัสดิการ รวมถึงการเติบโตธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก กลุ่มมองบวก คือ กลุ่มอิงเศรษฐกิจภายในจากการกระจายตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น อาทิ ADVANC, SAWAD, GLOBAL, OSP, MC, SABINA, TOA, ICHI, AEONTS แต่เป็นจิตวิทยาลบหุ้นใหญ่ที่มีการแข่งขันในอุตสาหกรรมน้อย จากทิศทางนโยบายของพรรคผู้ชนะการเลือกตั้งที่เคยให้ความเห็นไว้
ส่วนค่าแรงขั้นต่ำที่มีแนวโน้มขึ้นเป็น 450 บาททันที เพิ่ม 33.5% จากค่าแรงปัจจุบัน ลบต่อกลุ่มอิงแรงงานสูง อาทิ ร้านอาหาร, รับเหมา, โรงแรม, อสังหาฯ และสถานีบริการน้ำมัน ทั้งนี้ภายใต้สมมติฐานปรับเพิ่มตั้งแต่ปี 2024F โดยให้ปัจจัยอื่นคงที่ ประเมินทุก ๆ 10% ที่ปรับขึ้น จะกระทบกำไรตลาดฯ ราว -2.3 พันล้านบาท การขึ้น 33.5% จะกระทบราว -7.7 พันล้านบาท กระทบกำไรตลาดต่อหุ้นน้อยกว่า 1 บาท
ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ในฐานะนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เผยว่า หลังผลเลือกตั้ง 2566 ออกมา ตลาดหุ้นอาจมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นในช่วง 2-3 วันนี้ ซึ่งการที่พรรคก้าวไกลมีคะแนนนำเป็นอันดับหนึ่ง ถือว่าผิดคาดของตลาดฯ ซึ่งต้องดูกันต่อไปว่าการฟอร์มทีมรัฐบาลจะจับมือกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ และเสียงสว. 250 เสียง ที่จะเลือกตัวนายกรัฐมนตรีจะราบรื่นหรือไม่
ส่วนทิศทางเศรษฐกิจไทยนั้น ระยะสั้นปีนี้หรือปีหน้าน่าจะดีขึ้น จากการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายการหาเสียงในเรื่องประชานิยม โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ที่ประกาศนโยบายเรื่องของการแจกเงิน พักหนี้ ลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่กำลังซื้อของประชาชน ธุรกิจก็จะได้รับผลพวงตรงนี้ ขณะที่ระยะยาวต้องดูต่อไปว่ารัฐบาลจะสามารถเข้าไปบริหารจัดการงบประมาณได้ดีแค่ไหน จะหาเงินจากไหนและจะส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ จากการใช้ประชานิยมที่สูงมาก
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนจากการที่ตลาดหุ้นไม่ได้ตอบรับในช่วงก่อนการเลือกตั้ง และราคาหุ้นยังไม่แพง ธีมหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค การค้าปลีก ยังน่าสนใจ เพราะชัดเจนอยู่แล้วว่ากำลังซื้อประชาชนจะดีขึ้นใน 6 เดือนข้างหน้า
“ตลาดหุ้นไทยอาจมีความไม่แน่นอนในช่วง 2-3 วันนี้ ต้องดูว่าทิศทางการเมืองจะเป็นอย่างไร แต่คิดว่าสุดท้ายสว.ก็คงต้องฟังเสียงประชาชน” นายไพบูลย์ กล่าว
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) กล่าวว่า หุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับลงไม่ได้เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐาน ในทางกลับกันทำให้อัพไซด์เปิดกว้างและมีอัพไซด์สูง นอกจากนี้หากเจาะลึกรายละเอียดนโยบายไฮไลต์ของพรรคที่ได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่ เริ่มจากพรรคที่ได้คะแนนเสียงอันดับ 1 คือพรรคก้าวไกล “เน้นปรับโครงสร้างทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับเพิ่มสวัสดิการทุกช่วงวัย” ขณะที่พรรคคะแนนเสียงอันดับ 2 คือพรรคเพื่อไทย “เน้นเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และขยายโอกาส พร้อมกับคาดหวัง GDP กลับมาเติบโตเฉลี่ยอย่างต่ำปีละ 5%”
ส่วนทิศทางตลาดหุ้นไทยหลังเลือกตั้ง 2566 จากพัฒนาการของสถานการณ์การเมืองดังกล่าว ตลาดหุ้นน่าจะตอบสนองเชิงบวก หากจะเทียบเคียงอารมณ์อาจคล้ายช่วงเวลาที่พรรคไทยรักไทยชนะเลือกตั้งแบบ Landslide ในปี 2544 ซึ่งตอนนั้นดัชนีหุ้นไทยขึ้น 8.5% ในสัปดาห์แรกหลังเลือกตั้ง และ 19% ใน 1 เดือนหลังเลือกตั้ง หรือน้อยที่สุดน่าจะทำให้ดัชนีปรับขึ้นไปได้ตาม
ข้อมูลเชิงสถิติในอดีต 5 ครั้งหลังสุด กล่าวคือ 3.8% ในสัปดาห์แรกหลังเลือกตั้ง และ 3.1% ในช่วง 1 เดือนแรกหลังเลือกตั้ง โดยมีฟันด์โฟลว์ไหลเข้าเฉลี่ย 9 พันล้านบาท
ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายหาเสียง แนะนำ 6 กลุ่มหลัก ๆ ดังนี้ กลุ่มพาณิชย์ (COMM) หุ้นเด่นคือ CPALL, CRC, HMPRO, COM7 กลุ่มการเงิน (FIN) หุ้นเด่นคือ MTC, SAWAD, TIDLOR กลุ่มธนาคาร (BANK) หุ้นเด่นคือ KBANK, KTB กลุ่มอาหาร (FOOD) หุ้นเด่นคือ SNNP, CBG กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง (CONS) หุ้นเด่นคือ CK, STEC และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง (CONMAT) หุ้นเด่นคือ SCC
ก้าวไกลกวาดเรียบ
นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยว่า ผลการนับคะแนน ส.ส.แบบแบ่งเขต มีดังนี้ พรรคก้าวไกล 113 ที่นั่ง, พรรคเพื่อไทย 112 ที่นั่ง, พรรคภูมิใจไทย 67 ที่นั่ง, พรรคพลังประชารัฐ 39 ที่นั่ง, พรรครวมไทยสร้างชาติ 23 ที่นั่ง, พรรคประชาธิปัตย์ 22 ที่นั่ง, พรรคชาติไทยพัฒนา 9 ที่นั่ง, พรรคประชาชาติ 7 ที่นั่ง, พรรคไทยสร้างไทย 5 ที่นั่ง, พรรคเพื่อไทรวมพลัง 2 ที่นั่ง และพรรคชาติพัฒนากล้า 1 ที่นั่ง
แบบบัญชีรายชื่อได้เก้าอี้ไป 17 พรรค ดังนี้ พรรคก้าวไกล 39 ที่นั่ง, พรรคเพื่อไทย 29 ที่นั่ง, พรรครวมไทยสร้างชาติ 13 ที่นั่ง, พรรคภูมิใจไทย 3 ที่นั่ง, พรรคประชาธิปัตย์ 3 ที่นั่ง พรรคประชาชาติ 2 ที่นั่ง, พรรคพลังประชารัฐ 1 ที่นั่ง, พรรคเสรีรวมไทย 1 ที่นั่ง, พรรคไทยสร้างไทย 1 ที่นั่ง, พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 ที่นั่ง, พรรคใหม่ 1 ที่นั่ง, พรรคชาติพัฒนากล้า 1 ที่นั่ง, พรรคท้องที่ไทย 1 ที่นั่ง, พรรคชาติไทยพัฒนา 1 ที่นั่ง, พรรคเป็นธรรม 1 ที่นั่ง, พรรคพลังสังคมใหม่ 1 ที่นั่ง และพรรคครูไทยเพื่อประชาชน 1 ที่นั่ง
ด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวว่า ได้เชิญชวนพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาล รวมทั้งพรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม ส่วนทั้ง 5 พรรคที่ติดต่อกัน ประกอบด้วย ก้าวไกล, เพื่อไทย, ประชาชาติ, ไทยสร้างไทย, เสรีรวมไทย รวมกัน ตอนนี้มี 308 เสียง กำลังติดต่อ พรรคเป็นธรรม อีก 1 พรรค รวมกันเป็น 309 เสียง คิดว่าเพียงพอแล้วในการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก ขอให้ทุกฝ่ายทุกภาคส่วนต้องน้อมรับเสียงข้างมาก และปิดประตูการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย