SSP รุกหนัก M&A ต่างประเทศ ดันพอร์ตกำลังผลิต 3 ปี โตเท่าตัว

SSP แย้มปี 66 โตต่อ เดินหน้าบุกเวียดนาม หลังรัฐบาลเวียดนามเคาะแผน PDP8 ดันพอร์ตกำลังผลิตไฟฟ้า 3 ปี โตเท่าตัว เล็งขยายการลงทุนพลังทดแทนต่อเนื่อง ทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ ย้ำกระแสเงินสดแข็งแกร่ง


นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 26 พ.ค.66 ว่าแนวโน้มผลดำเนินงานในปี 2566 เชื่อว่ายังเติบโตอย่างต่อเนื่องตามแผน อีกทั้งบริษัทยังมองหาโอกาสเพื่อเข้าไปลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ในประเทศฟิลิปปินส์ และไต้หวัน และการใช้กลยุทธ์ทำ M&A ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาปิดดีล รวมถึงการเข้าลงทุนในเวียดนามตามแผนพัฒนาพลังงาน PDP8 ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยสนับสนุน ทำให้พอร์ตกำลังผลิตเติบโตเท่าตัวในอีก 3 ปี

โดยหลังจากรัฐบาลเวียดนามได้อนุมัติแผนพัฒนาพลังงานฉบับที่ 8 หรือ PDP8 มีเป้าหมายที่จะสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับภูมิภาคอาเซียนและมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2573 โดยแผนดังกล่าว จะมีการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าในประเทศเวียดนามให้ไม่น้อยกว่า 150 GW ภายในปี 2573 และในช่วงที่ผ่านมา SSP เป็นบริษัทฯหนึ่งที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ในการเข้าไปพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในเวียดนาม และเตรียมเข้าไปพัฒนาต่อยอดในโครงการต่างๆ อาทิเช่น พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานทดแทนรูปแบบอื่นๆ

สำหรับโครงการในเวียดนามของ SSP ที่ได้แก่ โซลาร์ฟาร์ม Binh Nguyen ขนาดกำลังการผลิต 49.61 MW และ โครงการวินด์ฟาร์มในประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังผลิต 48 MW ที่สามารถ COD ได้ตามแผน ซึ่งจะเห็นว่าโครงการที่ SSP เข้าไปลงทุนล้วนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และรัฐบาลเวียดนาม และการอนุมัติแผนพัฒนาพลังงาน PDP8 ในเวียดนามในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ SSP เข้าไปลงทุนและพัฒนาโครงการต่อยอด  สนับสนุนการขยายพอร์ตกำลังผลิตได้แบบก้าวกระโดด

ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีฐานะทางการเงินที่มีความแข็งแกร่ง รองรับแผนการขยายพอร์ตโรงไฟฟ้า Renewable ทุกรูปแบบ โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เปิดดำเนินงานแล้ว 236 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าหมายในอีก 3 ปี มีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็นเท่าตัวทะลุ 500 MW โดยมีสัดส่วนจากแหล่งพลังงานใหม่ๆ เช่น พลังงานลม หรือ ชีวมวล เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ภาพรวมผลการดำเนินงานเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น

ทั้งนี้ หลังผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯในไตรมาส 1/66  (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2566) บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 256.19 ล้านบาท ลดลง 0.23% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 256.77 ล้านบาท และมีรายได้รวม 796.4 ล้านบาท ลดลง 7.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 858.5 ล้านบาท

Back to top button