“เอกภาวิน” แนะเก็บ 5 หุ้น คาดผลงาน Q2 สดใส
“เอกภาวิน” แนะนำนักลงทุนเก็บ KCE-HANA-BBL-BCP-MINT คาดว่าผลงานไตรมาส 2/66 และครึ่งหลังของปี 66 สดใส พร้อมเผยปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อตลาดในตอนนี้
เอกภาวิน สุนทรภิชาติ ผู้อำนายการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บริษัท หลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวผ่านรายการสด “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” ณ วันที่ 29 พ.ค. 66 ว่าได้ประเมินกรอบดัชนีมีโอกาสรีบาวด์ขึ้นมาประมาณกรอบเดิมที่บริเวณ 1,540 จุด หลังจากค่อยๆฟื้นตัวจากบริเวณแนวรับ 1,500 จุด ขานรับในเรื่องของการร่าง MOU ของภาคร่วมรัฐบาล
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของดัชนีบริเวณ 1,540 จุด จะเป็นในเรื่องของประเด็นเพด้านหนี้สหรัฐที่มีความกังวลอยู่ ซึ่งส่งผลภาพรวมให้มีการแกว่งตัวออกหรือลงมาที่บริเวณกรอบแนวรับ 1,530 จุด โดยตอนนี้ต้องรอให้สภาของสหรัฐนั้นอนุมัติภายในวันที่ 31 พ.ค. 66 นี้ ซึ่งน่าจะทำให้ดัชนีกลับขึ้นไปที่จุดเดิมบริเวณ 1,540 จุด อย่างไรก็ตามแนะว่าถ้าอนุมัติผ่านก็จะทำให้ภาพรวมนั้นมีสัญญาณบวกมากขึ้นในด้านของการฟื้นตัวต่อ ซึ่งต่อไปก็จะมีการเพิ่มประมาณอีก 10-20 จุด โดยจะไปอยู่ที่ประมาณบริเวณ 1,550- 1,560 จุด แต่ถ้าในกรณีที่ไม่ได้ถูกอนุมัติให้ผ่าน ภาพรวมก็จะแกว่งอยู่ในกรอบต่อบริเวณ 1,530-1,540 จุด
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาดหลักทรัพย์ ในส่วนของปัจจัยภายนอกประเทศนั้นสามารถผ่อนคลายได้บ้างแล้ว ย้อนกลับมาที่ปัจจัยภายในประเทศมีอยู่ 2 ประเด็นหลัก ประเด็นแรกคือเรื่องของการเมือง เนื่องจากยังมีข่าวในเรื่องของการจัดตั้งรัฐบาลที่ยังมีความไม่แน่นอนเข้ามา แต่เชื่อว่าตลาดจะมุ่งเน้นไปมองภาพบวกหลังการจัดตั้งรัฐบาลมากกว่า ซึ่งอยู่ภายในช่วงปลายเดือนก.ค.– ส.ค. 66 ตลาดตอนนี้อาจจะมีกระทบบ้าง แต่มองว่าเป็นเพียงระยะสั้น หากมองพรรคทั้ง 8 พรรคแล้ว มีการร่าง MOU และมีการสนับสนุนให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ อีกทั้งยังโหวตให้กับพรรคก้าวไกลในการเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี โดยต้องติดตามต่อไปว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร
ประเด็นต่อมาคือ เรื่อง COVID-19 ซึ่งมีจำนวนผู้ติดเชื้อภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้ามองในมุมของการที่ไม่ใช่โรคระบาดร้ายแรงหรือต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ อาจจะไม่ได้กระทบตลาดมากนัก ซึ่งเชื่อว่าช่วงเวลานี้จนถึงก่อนการเลือกนายกรัฐมนตรี ตลาดมีโอกาสจะฟื้นตัวต่อได้เนื่อง แต่บางจังหวะลงมาที่บริเวณ 1,500 จุด ถือว่าเป็นจุดที่รับได้ โดยเป้าหมายของดัชนีมีโอกาสที่จะไปทดสอบ 1,570 จุด ยังสามารถเป็นไปได้อยู่ แต่จะเป็นในลักษณะของการเลือกซื้อหุ้น เพราะบางครั้งหุ้นที่ under form จะกระทบจากทั้งการร่าง MOU หรือจากทั้งปัจจัยภายนอกก็มีเหมือนกัน ก็น่าจะสามารถทำกำไรได้
นายเอกภาวิน กล่าวอีกว่า ด้านภาพรวมของบริษัทจดทะเบียนเชื่อว่าในไตรมาสแรกเป็นจุดต่ำสุดไปแล้ว คาดว่าในไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไปจะเริ่มดีขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงครึ่งปีหลังกลุ่มที่มีโอกาสฟื้นตัวจะเป็นกลุ่มพลังงาน ซึ่งราคาน้ำมันจะมีการปรับตัวลดลงไปเยอะ จะสามารถสร้าง down side ประมาณ 60 – 70 เหรียญ สามารถปรับขึ้นมาได้ตามความเหมาะสมภายในครึ่งปีหลังนี้ รวมถึงธนาคารและอิเล็กทรอนิกส์ที่ผ่านต่ำสุดไปแล้ว บวกกับช่วงนี้จากความต้องการ ship ที่เติบโตตาม AI จะได้ผลพลอยได้ด้วยในเรื่องของการซื้อหุ้นบริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE, บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA
ส่วนกลุ่มธนาคารก็จะเป็น ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ถ้าเป็นกลุ่มพลังงานก็จะเป็นหุ้นของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP กลุ่มที่จะชะลอตัวลงหน่อยจะเป็นกลุ่มท่องเที่ยว โดยตัวเด่นบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT
“เราอาจจะเน้นที่หุ้นที่ไม่ได้เป็นทุนใหญ่มาก อาจจะกระทบต่อนโยบายของรัฐบาล ของ MOU ด้วย ที่กระทบราคาหุ้น ลองดูพวก HTC PNP สามารถเล่นได้ เพื่อสร้างผลตอบแทน หุ้นต่างๆที่แนะนำ ตัว property เองก็จะกระทบจากนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาทด้วย หรือเรื่องส่งออกสินค้าก็ยังไม่ดี” นายเอกภาวิน กล่าว