จังหวะเก็บ “หุ้นโรงพยาบาล” รับ “ไข้เลือดออก” ระบาดหนัก ชู BCH-CHG ท็อปพิก
"สาธารณสุข" เผย "ไข้เลือดออก" ปีนี้ระบาดหนักสุดในรอบ 3 ปี พบ 5 เดือนป่วยสะสม 18,173 ราย มากกว่าปีก่อน 4.2 เท่า โบรกมอง "เซนติเมนต์" หุ้นโรงพยาบาล ชู BCH-CHG ท็อปพิก จับตาผลงานครึ่งปีหลังฟื้นตัวแกร่ง พ่วงปัจจัยบวกเฉพาะตัว
บล.กรุงศรี พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ปีนี้โรคไข้เลือดออกมีแนวโน้มระบาดหนักสุดในรอบ 3 ปี โดยเดือน ม.ค.-พ.ค.66 ประเทศไทยมีผู้ป่วยจานวน 18,173 ราย มากกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 4.2 เท่า เป็นการระบาดสูงสุดในรอบ 3 ปี มีผู้เสียชีวิต 15 ราย เฉลี่ยมีผู้ป่วยสัปดาห์ละ 900 ราย เสียชีวิตสัปดาห์ละ 1 ราย พบอัตราป่วยสูงสุด คือ กรุงเทพฯ, ภาคใต้ และภาคกลาง สำหรับฤดูกาลไข้เลือดออกจะสูงขึ้นในเดือน ก.ค.ถึงต.ค. ของทุกปี
ทั้งนี้มองว่าประเด็นดังกล่าวเป็น Sentiment บวกต่อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล เนื่องจาก 1) การระบาดของโรคไข้เลือดออกและมีผู้ป่วยสะสมสูงขึ้นกว่าปีก่อน จะช่วยหนุนจานวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น ประกอบกับ 2) มีผลต่อ Intensity ค่ารักษา และจำนวนวันนอนของกลุ่มลูกค้า IPD (ปกติ IPD มีจานวนวันนอนเฉลี่ย 3 วัน) มองว่ากลุ่มโรงพยาบาลที่ศึกษาและมีเครือข่ายครอบคลุมพื้นที่การระบาดของโรค ได้แก่ BDMS, BCH, CHG และ THG มีโอกาสได้ประโยชน์จากจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่าปกติ
ดังนั้นจึงยังคงน้ำหนักลงทุน Neutral สำหรับกลุ่มการแพทย์ เนื่องจากคาดปีนี้กำไรสุทธิรวมของกลุ่มฯ ลดลง 15% เมื่อเทียบจากปีก่อน ยังเป็นช่วงปรับฐานกำไรของ BCH, CHG และ THG ส่วน BDMS, BH คาดกำไรกลับมาเติบโตในอัตราปกติ ทิศทางระยะสั้น ส่วนในช่วงครึ่งหลังปี 66 คาดว่า BCH และ CHG มีโอกาสฟื้นตัว Outperform กลุ่มฯ จากคาดกำไรครึ่งปีหลัง เริ่มกลับมาเติบโตเมื่อเทียบจากปีก่อน เด่นกว่ากลุ่มฯ
สำหรับ BDMS แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 33.80 บาท มองว่ายังน่าสนใจลงทุนในธีมการเติบโตของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะจีน และต่างชาติกลุ่มใหม่ๆ จากมีความพร้อมทั้ง Capacity และมี Ecosystem ของการให้บริการทางการแพทย์ครบวงจร สำหรับหุ้นเด่นเลือก BCH แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 23.50 บาท และ CHG แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.50 บาท เนื่องจากคาดปีนี้กำไรของ BCH และ CHG ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 1/66 และเริ่มเห็นการเติบโตในปี 67 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ธีมเฉพาะของ BCH คือ ในครึ่งหลังปี 66 ถึงครึ่งแรกปี 67 เป็นช่วงการสร้างรายได้ของโรงพยาบาลเดิม และโรงพยาบาลใหม่ที่ลงทุนไปก่อนหน้า (Ramp up) รวมทั้งยังไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มของการลงทุนรอบใหม่
ส่วนธีมเฉพาะของ CHG คอื ระยะสั้นครึ่งหลังปี 66 อาจมีประเด็นกังวลต้นทุนส่วนเพิ่มของการเปิดโณงพยาบาลจุฬารัตน์แม่สอด และศูนย์การแพทย์จุฬารัตน์ อย่างไรก็ตาม ยังมองบวกต่อการขยายเครือข่ายโรงพยาบาลและยกระดับการรักษาครอบคลุมโรครุนแรงมากขึ้น ทำให้ระยะยาวคาดว่า CHG จะมีศักยภาพแข่งขันดีขึ้น รวมทั้งมีโอกาสขยายฐานลูกค้าใหม่ และมอัตรากำไรดีขึ้น จากการเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนผู้ใช้บริการและ Intensity ค่ารักษา