“ไทยเบฟ” ควัก 4.5 พันล้าน เปิดโต๊ะเทนเดอร์ OISHI เริ่ม 15 มิ.ย.นี้
“ไทยเบฟเวอเรจ” พร้อมทุ่มกว่า 4.5 พันล้านบาท เปิดโต๊ะเทนเดอร์ OISHI สัดส่วน 20.34% ราคาหุ้นละ 59 บาท เริ่ม 15 มิ.ย.-22 ส.ค.66 ก่อนเพิกถอนออกจากตลาดฯ
บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ OISHI แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่าตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 มีมติอนุมัติให้ผู้ทำคำเสนอซื้อ เข้าทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของ OISHI จำนวน 76,279,602 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 20.34 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของกิจการ ในราคาหุ้นละ 59 บาทต่อหุ้น เพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ของกิจการออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ทั้งนี้ในปัจจุบันที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ OISHI ครั้งที่ 1/2566 มีมติอนุมัติการเพิกถอนหลักทรัพย์ของกิจการออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2566 และ OISHI ได้รับหนังสืออนุมัติการขอเพิกถอนหุ้นสามัญของ OISHI จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 ดังนั้นบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ทำคำเสนอซื้อจึงมีความประสงค์ที่จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ที่เหลือทั้งหมดของกิจการเพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ของกิจการออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับวัตถุประสงค์ในการทำคำเสนอซื้อในครั้งนี้ เนื่องจากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เล็งเห็นว่าปัจจุบันปริมาณการซื้อขายหุ้นของ OISHI ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีไม่มากนัก จึงเห็นว่าการทำคำเสนอซื้อหุ้นสามัญทั้งหมดของกิจการ เพื่อเพิกถอนหลักทรัพย์ของกิจการในครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มทางเลือกและโอกาสให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยสามารถขายหุ้นได้
นอกจากนั้นยังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับแผนการปรับโครงสร้างการดำเนินงานและการประกอบธุรกิจของกลุ่มธุรกิจอาหาร และกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ภายในกลุ่ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และ/หรือเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยจะดำเนินการจัดกลุ่มธุรกิจอาหาร และกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
รวมถึงการปรับโครงสร้างของกิจการในเรื่องต่างๆ ซึ่งอาจดำเนินการในลักษณะของการซื้อจำหน่าย หรือโอนทรัพย์สินหรือสิทธิต่างๆ การควบรวมกิจการ การโอนสิทธิตามสัญญาทางการเงิน การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หรือแนวทางในการดำเนินธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงนโยบายการบริหารงาน การโอนย้ายพนักงาน การกู้ยืม-ให้กู้ยืมเงิน การระดมทุนในรูปแบบต่างๆ เป็นต้น ซึ่งการปรับโครงสร้างที่กล่าวมานี้อาจมีการทำรายการหรือธุรกรรมระหว่างกิจการกับผู้ทำคำเสนอซื้อ และ/หรือบริษัทในกลุ่มผู้ทำคำเสนอซื้อ
ทั้งนี้ ผู้ทำคำเสนอซื้อจะพิจารณาดำเนินการตามแผนการดังกล่าวตามความเหมาะสมในอนาคต เนื่องจากแผนการดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอน จึงอาจมีการเพิ่มเติม และ/หรือ เปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้น การเพิกถอนหลักทรัพย์ของกิจการ จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน จะทำให้สามารถเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการกิจการและแผนการปรับโครงสร้างดังกล่าวมากยิ่งขึ้น และเนื่องจากกิจการจะไม่มีสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกต่อไป การดำเนินการดังกล่าวจะยังช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการเป็นบริษัทจดทะเบียน
อย่างไรก็ดี ภายหลังการเพิกถอนหลักทรัพย์ของกิจการจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กิจการจะยังมีสถานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และจะยังคงปฏิบัติตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการดำเนินการตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีต่อไป
สำหรับระยะเวลารับซื้อรวมทั้งสิ้น 45 วันทำการ หรือตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2566 ถึงวันที่ 21 สิงหาคม 2566 โดยตัวแทนตัวแทนในการรับซื้อหลักทรัพย์ใคครั้งนี้ คือ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โดยเงินทุนสูงสุดที่ผู้ทำคำเสนอซื้อจะต้องใช้สำหรับการเสนอซื้อหลักทรัพย์ตามคำเสนอซื้อครั้งนี้จะเท่ากับ 4,500.50 ล้านบาท