STARK ฉาวอีก! “สรรพากร” สั่งสอบภาษีย้อนหลัง ส่อเข้าข่ายแจ้งเท็จ

เงินเพิ่มทุนพีพี STARK หายเกลี้ยง 5,580 ล้านบาท ผู้สอบบัญชีระบุใช้ชำระ L/C เจ้าหนี้การค้าเพื่อซื้อวัตถุดิบ 4,071 ล้านบาท และชำระหุ้นกู้ชุดที่ 3 มูลค่า 1,509 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์เพื่อใช้ซื้อหุ้น LEONI ด้าน “อธิบดีสรรพากร” สั่งตรวจสอบภาษีย้อนหลัง ส่อเข้าข่ายแจ้งภาษีเป็นเท็จ ตลาดฯ ขู่เพิกถอนพ้น SET หลังส่วนทุนติดลบ ก.ล.ต.เตือนแมงเม่าอย่าลุยไฟ รายย่อยรวมตัวฟ้องเรียกค่าเสียหาย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบหมายเหตุงบการเงินปี 2565 ของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ที่จัดทำโดยบริษัท ไพร้ซ วอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส เอบีเอเอส จำกัด (PwC) โดยผู้สอบบัญชี ระบุว่า ช่วงปี 2566 บริษัทได้นำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน 5,580 ล้านบาท จากบุคคลในวงจำกัด (PP) ไปชำระ Letter of credit (L/C) สำหรับเจ้าหนี้การค้าเพื่อซื้อวัตถุดิบจำนวน 4,071 ล้านบาท และชำระคืนหุ้นกู้ชุดที่ 3 (STARK23206A) พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 1,509 ล้านบาท ซึ่งไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น

โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 ที่ประชุมคณะกรรมการ STARK มีมติเห็นชอบให้เพิ่มทุนจดทะเบียน 1,500 ล้านหุ้น แบบเฉพาะเจาะจง (PP) ให้นักลงทุนสถาบันและนิติบุคคล 12 แห่ง ราคาหุ้นละ 3.72 บาท มูลค่ารวม 5,580 ล้านบาท (ได้รับเงินเพิ่มทุน 23 ก.ย. 2565) ภายใต้วัตถุประสงค์นำเงินเพิ่มทุนไปชำระค่าซื้อหุ้น LEONI Kabel GmbH และ LEONIsche Holding Inc มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 560 ล้านยูโร (20,588.90 ล้านบาท) แต่ภายหลังบริษัทได้ยกเลิกดีลดังกล่าว

ด้าน นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากร กำลังเข้าไปตรวจสอบการเสียภาษีของ STARK ที่ผ่านมาว่าเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ ถือว่าเป็นประเด็นใหญ่ที่สังคมให้ความสนใจ เนื่องจากบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงต้องเข้าไปตรวจสอบให้ละเอียดรอบคอบ

“ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้กรมสรรพากรต้องเข้าไปดูอยู่แล้วว่าเขาจ่ายภาษีให้รัฐครบถ้วนและถูกต้องหรือไม่ ทั้งหมดต้องเป็น ไปตามกฎหมาย” อธิบดีกรมสรรพากร กล่าว

ทั้งนี้แม้ว่าบริษัทจะมีการสร้างยอดขายเท็จหรือสร้างกำไรเท็จ ต้องตรวจสอบบัญชีนย้อนหลัง ไม่ว่าจะออกมารูปแบบไหนจริงหรือไม่จริง บริษัทก็ต้องเสียภาษี ในเมื่อก่อนหน้านี้แสดงว่ามีกำไรสุทธิ ส่วนจะมีการแจ้งภาษีเท็จหรือไม่นั้น ทางทีมตรวจสอบของกรมสรรพากรกำลังดำเนินการอยู่ โดยจะตรวจสอบย้อนหลังประมาณ 2 ปี

ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สั่ง STARK เร่งแก้ไขส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่าศูนย์ ภายใน 3 ปี ก่อนถูกเพิกถอนหลักทรัพย์ พร้อมเตรียมปิดซื้อขาย (SP) แบบไม่มีกำหนด ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2566 เป็นต้นไป เตือนนักลงทุนระมัดระวังและศึกษารายละเอียดข้อมูล

โดยภายหลัง STARK ส่งงบการเงินประจำปี 2565 ปรากฏว่า ส่วนของผู้ถือหุ้นปี 2564 (ปรับปรุงใหม่) และปี 2565 มีค่าน้อยกว่าศูนย์เป็นจำนวน 2,895 ล้านบาท และ 4,415 ล้านบาทตามลำดับ ส่งผลให้หลักทรัพย์ STARK มีเหตุเข้าข่ายอาจถูก เพิกถอนตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าด้วยการเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน

ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะดำเนินการต่อ STARK ดังนี้ 1) ประกาศให้หลักทรัพย์ STARK มีเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน จากการที่ส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์ตั้งแต่ 19 มิ.ย. 2566 เป็นต้นไป พร้อมขึ้นเครื่องหมาย NC (Non-compliance) โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะขึ้นเครื่องหมาย SP อีกครั้ง นับตั้งแต่ 1 ก.ค. 2566 ไปจนกว่าบริษัทจะสามารถดำเนินการแก้ไขเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน

2) ให้ STARK เปิดเผยแนวทางดำเนินการแก้ไขเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนจากการที่ส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์ พร้อมทั้งกำหนดเวลาของการดำเนินการดังกล่าวแก่ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนได้ทราบ ภายใน 19 ก.ค.นี้ 3) ให้ STARK เร่งดำเนินการแก้ไขเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนจากการที่ส่วนของผู้ถือหุ้นมีค่าน้อยกว่าศูนย์ให้หมดไปภายใน 3 ปี นับแต่ 19 มิ.ย. 2566 หากครบกำหนด STARK ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจพิจารณาเพิกถอนหลักทรัพย์ STARK ต่อไป

ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ลงทุนพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับงบการเงินและผลการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ (special audit) ของ STARK ด้วยความระมัดระวัง เพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจลงทุน จากรายงานการสอบบัญชีของผู้สอบบัญชี ที่ไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินรวมของ STARK หลายประเด็นและผลการตรวจสอบ Special audit ระยะแรก ซึ่งได้แสดงข้อมูลยอดขายที่ผิดปกติ ยอดสินค้าคงเหลือที่ผิดปกติ

โดยรายงานวิเคราะห์อายุลูกหนี้ถูกจัดทำอย่างไม่ถูกต้อง และเงินจ่ายล่วงหน้าค่าสินค้าผิดปกติ ทำให้มีรายการปรับปรุงที่สำคัญที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2565 และการปรับปรุงรายการย้อนหลังไปยังงบการเงินปีก่อนหน้า จึงขอให้ผู้ลงทุนพิจารณาศึกษาที่เกี่ยวข้องข้อมูลดังกล่าวอย่างรอบคอบเพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจลงทุน

นายณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ประธานบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ได้รับการติดต่อจากผู้ถือหุ้นรายย่อยของ STARK ที่รวมตัวกันกว่า 100 คน จากจำนวนทั้งหมดกว่า 10,000 คน ผ่านการอำนวยความสะดวกของสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย เพื่อขอคำปรึกษาตนในฐานะที่ปรึกษาการลงทุน จึงขอเชิญชวนผู้ถือหุ้น STARK มาลงทะเบียนภายในวันที่ 25 มิ.ย. เพื่อแสดงจุดยืนในการดำเนินคดีต่อผู้รับผิดชอบและผู้เกี่ยวข้อง และอาจมีโอกาสได้เงินคืน ส่วนผู้ที่เพิกเฉยอาจไม่ได้รับสิทธิดังกล่าว

นางสาวสิริพร สงบธรรม เลขาธิการสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย กล่าวว่า ล่าสุดมีผู้ลงทุนได้ยื่นเรื่องเพื่อรวมกลุ่มดำเนินคดีความเสียหายที่เกิดจากการลงทุนหุ้น STARK แล้ว 92 ราย รวมมูลค่าความเสียหายราว 250 ล้านบาท โดยมีผู้ลงทุนเสียหายมากที่สุดถึง 18 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ข้อมูลผู้ถือหุ้น STARK ณ วันที่ 30 ส.ค. 2565 มีจำนวนผู้ถือหุ้นทั้งหมด 11,354 ราย โดยเป็นจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย 9,613 ราย โดยช่วงประมาณ 1 ปีย้อนหลังราคาหุ้น STARK เคยขึ้นไปสูงสุด 5.10 บาท (พ.ค. 2565) แต่ล่าสุดขณะนี้เหลือเพียง 0.06 บาท ก็เชื่อว่ามูลค่าความเสียหายคงไม่น้อย

นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือ BBLAM เปิดเผยว่า การลงทุนในหุ้น STARK บริษัทได้วิเคราะห์ และเริ่มลงทุนหุ้น STARK ให้กองทุนต่าง ๆ มาตั้งแต่ปี 2563 มองเห็นโอกาสการเติบโตระยะยาวจากธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิล

โดยผลประกอบการก็เป็นไปในทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง STARK ประกาศดีลเข้าซื้อ LEONI ช่วงเดือน พ.ค. 2565 และออกหุ้นเพิ่มทุนวงจำกัด (Private Placement) ทำให้ผู้จัดการกองทุนเห็นโอกาสของการเติบโต จึงได้เข้าร่วมลงทุนหุ้นของ STARK เช่นเดียวกับผู้ลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศอีกหลายแห่ง

ทั้งนี้ บริษัทได้ติดตามเหตุการณ์ STARK มาโดยตลอด และส่งทีมนักวิเคราะห์เข้าชมโรงงาน Phelps Dodge ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ STARK เพื่อประเมินความสามารถในการดำเนินกิจการด้วยความระมัดระวัง รวมถึงใช้ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือต่าง ๆ ตามที่ปรากฏ เพื่อประมาณมูลค่ายุติธรรมขึ้นมาใหม่และขายหุ้นออกบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง โดยประเมินเบื้องต้นว่าบริษัทยังสามารถดำเนินกิจการได้ จึงไม่ได้ขายหุ้นออกไปทั้งหมดและรอการเปิดเผยข้อมูลทางการเงิน เพื่อใช้ประเมินการลงทุนต่อไป

Back to top button