TBN ปิดฟลอร์! หลังตลท.เตือนพบแรงเก็งกำไรสูง-P/E พุ่ง 74 เท่า
TBN ปิดฟลอร์! หลังตลท.เตือนพบแรงเก็งกำไรสูง-P/E พุ่ง 74 เท่า ฟากผู้บริหารมั่นใจปีนี้รายได้โต 40% จากปีก่อน งานในมือล่าสุดแตะ 300 ล้านบาท ครึ่งปีหลังกำไรซิ่งแรงต่อเนื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(20มิ.ย.66) ราคาหุ้นบริษัท ทีบีเอ็น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TBN ปิดตลาดที่ระดับ 29.50 บาท ลบ 13.00 บาท หรือ 30.59% ราคาสูงสุด 45.25 บาท ราคาต่ำสุด 30.00 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 4.39 พันล้านบาท ราคาหุ้นร่วงติดฟลอร์ของวันนี้ที่ระดับ 29.50 บาท หลังจากเข้าทำการซื้อขายวันแรกวานนี้ (19 มิ.ย.66) ปิดเทรดวันแรกเหนือจอง 150% ปิดที่ 42.50 บาท
โดยบ่ายวันนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เตือนผู้ลงทุนให้ระมัดระวังและศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ TBN เนื่องจากสภาพการซื้อขายภาคเช้าของวันนี้ (20 มิ.ย. 66) พบว่ามีแรงเก็งกำไรสูงด้วย Turnover ratio ที่ 85% ราคาปิดภาคเช้าที่ 41.5 บาท (เพิ่มขึ้น 144% จากราคา IPO) ด้วยมูลค่าซื้อขายสูงเป็นอันดับหนึ่ง 3,591 ล้านบาท (เมื่อวาน 19 มิ.ย. 66 อยู่ที่ 2,438 ล้านบาท) และพบการซื้อขายกระจุกตัว (ทั้งด้านซื้อและขาย) ที่ 39% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด ปัจจุบันมี P/E และ P/BV 74.85 เท่า และ 7.93 เท่า ตามลำดับ
ขณะที่เมื่อวานปรากฏรายการขาย Big lot จากผู้ถือหุ้นเดิมที่จำนวน 9.5 ล้านหุ้น ที่ราคา 20.75 บาทต่อหุ้น ซึ่งรายละเอียดเป็นไปตามที่ระบุไว้ในสรุปข้อสนเทศ (สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากข่าวของ TBN ในวันที่ 16 มิ.ย. 66 ที่เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ www.set.or.th)
ด้านนายปนายุ ศิริกระจ่างศรี TBN ผู้ให้บริการออกแบบและพัฒนาระบบดิจิทัลแบบครบวงจร กล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ย 40% จากปีก่อน ส่วนการดำเนินงานในไตรมาส 2/2566 ก็ยังมีแนวโน้มที่ดี แต่จะเห็นภาพชัดเจนในไตรมาส 3/2566-4/2566 ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการมีความเข้าใจ Low Code มากขึ้น ส่งผลทำให้มีปริมาณการใช้เพิ่มมากขึ้น
ขณะเดียวกัน รายได้ประจำ (Recurring Income) 50% ได้แก่ 1.งานพัฒนาระบบและงานบริการเกี่ยวเนื่องแบบครบวงจร ได้แก่ งานพัฒนาระบบดิจิทัล (Digital Solution Services) งานสนับสนุนและบำรุงรักษาระบบ (Technical Support and Maintenance) และงานให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ต่อยอดจากที่ได้พัฒนาและติดตั้งลงบนระบบของลูกค้า (Technical Consultancy Services) และ 2.งานสนับสนุนด้านเทคโนโลยี ได้แก่ การให้ใช้สิทธิโปรแกรม MENDIX (MENDIX License) และ 3.การให้บริการคลาวด์ (Cloud Services) กลุ่มลูกค้า แบ่งเป็น กลุ่มธนาคาร, สถาบันการเงิน, บริษัทประกันชีวิต, บริษัทประกันภัย, โบรกเกอร์, กลุ่ม Retail, กลุ่ม Telco และกลุ่ม Manufacturing เป็นต้น
ทั้งนี้ ทิศทางการดำเนินการครึ่งปีหลัง ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 1/2566 มูลค่างานประมาณ 300 ล้านบาท คาดจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 2 ไตรมาสหลังและปีหน้า โดยเฉลี่ย 4 ปีย้อนหลัง บริษัทมียอดขายเติบโตเฉลี่ย 30-40% ปีนี้ก็มั่นใจว่าจะสามารถรักษาระดับยอดขายได้ ซึ่งในปีนี้บริษัทจะเน้นการเสริมศักยภาพของบริษัทเพื่อที่จะสามารถรับงานได้เพิ่มมากขึ้นทั้งทรัพยากรบุคคลและทักษะด้านเทคโนโลยี
สำหรับแผนลงทุนขยายธุรกิจมองว่าโอกาสในต่างประเทศอาจจะมีความสนใจอยู่แต่ตอนนี้จะเน้นที่ตลาดไทยก่อน เนื่องจากมองว่าขนาดของตลาดยังมีทิศทางการเติบโตที่ดี ปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าที่เป็นรายใหญ่เพียง 60 บริษัท จากกลุ่มลูกค้าในตลาดที่มีเกือบ 1,000 บริษัท หากมีการพัฒนาสร้างบุคลากรที่เชี่ยวชาญ Low Code ก็จะเป็นโอกาสและเป็นการสร้างจุดแข็งให้กับประเทศไทย และสามารถเป็นศูนย์กลาง Low Code ที่แข็งแรงที่สุดในภูมิภาคนี้ รวมถึงตั้งเป้าในการพัฒนาบุคลากร Low Code ให้ได้เป็นหลัก 10,000 คน ภายใน 5 ปี โดยปัจจุบันบริษัทได้มีการร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือดีป้า และมหาวิทยาลัย เพื่อพัฒนาทักษะให้นักศึกษาสามารถใช้ Low Code ได้
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ว่าบริษัทจะรายงานกำไรสุทธิเติบโต 48% ในช่วง 3 ปีหน้า (2566-2568) สนับสนุนจากการเติบโตในทุก ๆ กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจงานพัฒนาระบบและงานบริการที่เกี่ยวข้อง (Digital solution and Service) เติบโตเฉลี่ย 34% CAGR และธุรกิจสนับสนุนด้านเทคโนโลยี (Licensing and Cloud) เติบโตเฉลี่ย 22% CAGR โดยมีแนวโน้มอัตรากำไรสุทธิที่ปรับสูงขึ้นตามแนวโน้มของรายได้จาก 23%, 28%, 30% ตามลำดับ ในช่วงปี 2566-2568