“ดีเอสไอ” จ่อเชือด อดีตผู้บริหาร STARK ส่อมีเอี่ยวปมทุจริต
ดีเอสไอ ถกร่วม ก.ล.ต. - ตำรวจปอศ. จากปมคดีโกงหุ้น STARK หลังมีผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ เบื้องต้นพบคนเอี่ยวส่อผิดมากกว่า 1 ราย โดยมีอดีตผู้บริหารบริษัทรวมอยู่ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับกรณีการตรวจพบความผิดปกติของงบการเงินของ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เป็นคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 โดยการสืบสวนเบื้องต้นมีมูลเชื่อว่ามีการกระทำผิดของกรรมการ หรือ ผู้บริหาร หรือบุคคลอื่นใด เกิดขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งพฤติการณ์มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นในตลาดทุนและระบบเศรษฐกิจการคลังของประเทศนั้น
ล่าสุดในวันที่ 26 มิ.ย. 66 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) บูรณาการความร่วมมือกับ ดีเอสไอ และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ในการดำเนินการร่วมกันด้านการบังคับใช้กฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดกรณีบริษัท STARK
โดย นายธวัชชัย พิทยโสภณ รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการ ก.ล.ต. ร่วมกับ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และ พ.ต.อ.อภิชน เจริญผล รองผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับมอบหมายโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้มีการประชุมหารือเรื่องดังกล่าว เพื่อบูรณาการความร่วมมือในการดำเนินการเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิดกรณี STARK เพื่อให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ทั้งนี้ดีเอสไอได้มีการรับเป็นคดีมาแล้วตั้งแต่วันที่ 21 มิ.ย. 66
สำหรับการร่วมประชุมในครั้งนี้ ทั้ง 3 หน่วยงานได้แลกเปลี่ยนข้อมูล รวมทั้งหารือเกี่ยวกับแนวทางการทำงานร่วมกันต่อไปเพื่อให้ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิดที่ทำได้อย่างรวดเร็วและรัดกุมและช่วยยับยั้งความเสียหายต่อประชาชนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยหลังจากนี้จะมีการประสานงานเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันต่อไป ขณะเดียวกันจะเสนอเรื่องให้ทางกระทรวงยุติธรรม เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีตามระเบียบราชการแผ่นดิน แต่งตั้งหน่วยงานร่วมเป็นคณะพนักงานสอบสวนด้วย
พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวว่า นอกจากนี้ ดีเอสไอ ทราบตัวผู้กระทำผิดบ้างแล้ว แต่ยังขอไม่ขอเปิดเผย ซึ่งพฤติกรรมของผู้กระทำผิดมีมากกว่า 1 คน โดยประกอบไปด้วย กลุ่มผู้บริหาร-กรรมการบริษัท อย่างไรก็ดีต้องขอเวลาสอบสวนก่อน ส่วนประเด็นเรื่องร่องรอยเบาะแสการเงิน ดีเอสไอพบบางส่วนเช่นเดียวกัน จึงขอเวลาในการทำงานสักระยะ เนื่องจากวันนี้เป็นเพียงการประชุมนัดแรกเพื่อกำหนดแนวทางการสอบสวน แต่ยืนยันว่าจะเร่งรัดดำเนินการให้เร็วที่สุดในทุกประเด็น
พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา คณะทำงานได้มีการทยอยเรียกบุคคลมาสอบปากคำบ้างแล้ว 4 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มพยานที่รับรู้พฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องของ ทั้ง 4 บริษัทสำคัญ และจากนี้ดีเอสไอจะมีการทยอยเรียกพยานบุคคลที่รับรู้เกี่ยวกับการจัดการเรื่องเงินเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติม โดยจะดำเนินการขนานไปกับการตรวจสอบเรื่องเส้นทางการเงิน อีกทั้งก่อนหน้านี้ได้มีกลุ่มผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษกับ 3 บุคคลที่เชื่อได้ว่ามีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ได้แก่ อดีตผู้บริหารบริษัท STARK 1 ราย ส่วนอีก 2 รายเป็นลูกน้องของผู้บริหารรายนี้ แต่ขณะนี้ดีเอสไอยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานก่อนเตรียมพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลัง
นายธวัชชัย กล่าวว่า เราเป็นหน่วยงานที่ดูเรื่องหลักทรัพย์ และจะทำตามอำนาจหน้าที่ ส่วนในการแสวงหาความร่วมมือในหน่วยงานต่างๆนั้นมีความสำคัญ โดยเราได้ประสานกับทางดีเอสไอ และ ปอศ. เป็นระยะ ซึ่งก็พบว่ามีรูปธรรมมากขึ้น และภายหลังจากที่ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ก็จะร่วมมือกันมากขึ้นเพื่อให้มีประสิทธิภาพ
ส่วนประเด็นเหตุการณ์การโกงหุ้น เกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น นายธวัชชัย ระบุว่า เรื่องเกิดขึ้นจากการที่บริษัทไม่ได้ดำเนินการส่งงบในปี 2565 จนนำไปสู่เหตุการณ์ผิดนัดหุ้นกู้ที่บริษัทเสนอขาย จากนั้นเราได้ขอให้ทางบริษัทชี้แจงเปิดเผยและเมื่อมีการทำการสอบบัญชีเป็นกรณีพิเศษเพิ่มเติม จนบริษัทมีการส่งงบการเงิน จึงเห็นข้อมูลผิดปกติหลายเรื่อง ตามที่ปรากฏ อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการขยายผลตรวจสอบพยานหลักฐาน และเบื้องต้นพอทราบตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องบ้างแล้ว โดยกลุ่มบุคคลนี้รู้เรื่องว่ามีการแก้ไขงบการเงิน และตนก็เชื่อว่ามีการดำเนินการมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ส่วนข้อเท็จจริงอื่นๆเพิ่มเติมยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
นายธวัชชัย ยังกล่าวถึงมูลค่าความเสียหายว่า มูลค่าความเสียหายของหุ้นกู้ มีจำนวนหลายพันล้านบาท ขณะที่มูลค่าหุ้นของบริษัทพบว่าลดลง และหุ้นทุกวันนี้ก็เหลือเพียงหลักสตางค์ อีกทั้งในวันนี้ ก.ล.ต. ได้มอบข้อมูลสำคัญให้กับทางดีเอสไอแล้ว ส่วนโอกาสที่ผู้เสียหายจะได้รับเงินคืนนั้น คงต้องดูกันไปอีกระยะหนึ่ง ส่วนที่ถามว่าบริษัทนี้จงใจมีขึ้นมาเพื่อเข้ามากระทำผิดหรือไม่นั้น ในส่วนนี้คงต้องตรวจสอบกันต่อไป ส่วนจะมีการขึ้นแบล็กลิสต์แก่บุคคลที่กระทำความผิดหรือไม่ ก.ล.ต. เรามีกฎในส่วนนี้อยู่แล้ว.