STARK ยังไม่ชำระหนี้หุ้นกู้ 2 ชุด พ่วง “เงินต้น-ดอกเบี้ย” 2.2 ล้าน เร่งหาทางออก
STARK แจงยันไม่ชำระหนี้เงินต้นคงค้าง “STARK239A-STARK249A” 2.2 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยคงค้างทั้งหมด เนื่องจากยังอยู่ระหว่างการเจรจาหาทางออกร่วมกับเจ้าหนี้ต่างๆ
บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าได้รับหนังสือเรียกให้ชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมดของหุ้นกู้ของ STARK ครั้งที่ 1/2564 ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2566 (STARK239A) และ หุ้นกู้ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2564 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2567 (STARK249A) (“หนังสือเรียกให้ชำระหนี้โดยพลัน”) จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ในวันที่ 6 มิถุนายน 2566
โดยผู้แทนผู้ถือหุ้นใช้สิทธิตามข้อ 11.3 ของข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ออกหุ้นกู้และผู้ถือหุ้นกู้ (“ข้อกำหนดสิทธิ”) เรียกให้บริษัทชำระหนี้เงินต้นคงค้างทั้งหมดจำนวน 2,241,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยคงค้างทั้งหมด ซึ่งคำนวณจนถึงวันที่บริษัทชำระหนี้ตามหุ้นกู้ครบถ้วนแล้ว ภายในวันที่ 2 กรกฎาคม 2566
ทั้งนี้ บริษัทขอเรียนแจ้งว่า บริษัทจะยังไม่ชำระหนี้ดังกล่าวภายในระยะเวลาที่ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้กำหนดมาในหนังสือเรียกให้ชำระหนี้โดยพลัน เนื่องจากบริษัทยังดำเนินการตามแผนการดำเนินการที่ได้แจ้งไว้ในสิ่งที่อ้างถึง 1 และ 2 ไม่แล้วเสร็จ กล่าวคือ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาหาทางออกร่วมกับเจ้าหนี้ต่างๆ เมื่อผลการเจรจายังไม่เป็นที่สิ้นสุด บริษัทจึงต้องชะลอการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ใดๆ เพื่อไม่ให้เป็นการเลือกปฏิบัติหรือให้เปรียบเจ้าหนี้กลุ่มใด เนื่องจากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ได้ดำเนินการเรียกให้บริษัทชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยทั้งหมดของหุ้นกู้หมายเลข STARK245A STARK255A และ STARK242A บริษัทจึงมีจำนวนหนี้คงค้างชำระเพิ่มขึ้นจำนวน 6,957,400,000 บาท
รวมหนี้เงินต้นหุ้นกู้คงค้างชำระทั้งสิ้น 9,198,400,000 บาท บริษัทยิ่งจะต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการชำระหนี้กลุ่มใดๆ เป็นการเฉพาะ เพื่อป้องกันความเสี่ยงอันเกิดจากการกระทำใดๆ ที่อาจถือเป็นการเลือกปฏิบัติและให้เปรียบเจ้าหนี้กลุ่มใดเหนือเจ้าหนี้รายอื่น เพื่อมิให้เจ้าหนี้รายอื่นๆ เพิกถอน หรือส่งผลกระทบในทางลบต่อการเจรจาบริหารการชำระหนี้
อนึ่ง บริษัทขออภัยที่ยังไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนการชำระหนี้โดยละเอียด ณ ขณะนี้ เนื่องด้วยบริษัทมีเจ้าหนี้ที่สำคัญหลายราย (ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ทางการเงิน หรือเจ้าหนี้กลุ่มอื่น) บริษัทจึงต้องใช้เวลาในการเจรจาหาทางออกในการร่วมกับเจ้าหนี้ที่สำคัญทั้งหมด เพื่อให้เจ้าหนี้ต่างๆ ระงับการใช้สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ทั้งหมดในลักษณะเดียวกันกับหนี้หุ้นกู้และหาแนวทางการบริหารการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้หุ้นกู้และกลุ่มอื่นๆ โดยเท่าเทียมกัน