PHG เทรดวันแรก ลุ้นวิ่งเป้า 30 บ. โบรกชี้กำไรปี 65-68 โต 21%
PHG ลงสนามเทรดตลาด SET ลุ้นราคาวิ่งเหนือจองไอพีโอ ฟากโบรกประเมินราคาเหมาะสมปี 66 อยู่ที่ 28-30 บาท คาดกำไรปี 65-68 เติบโตเฉลี่ย 21% จากการปลดล็อคอุปสงค์คงค้างของผู้ป่วยโรคไม่เร่งด่วน รวมถึงสปส.ปรับอัตราเหมาจ่าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ ( 5 ก.ค.66) หลักทรัพย์ บริษัท แพทย์รังสิตเฮลท์แคร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PHG เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มบริการ หมวดธุรกิจการแพทย์เป็นวันแรก โดย PHG มีทุนชำระแล้ว 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 246 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) 54 ล้านหุ้น โดยเสนอขายให้แก่บุคคลตามดุลยพินิจของ ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ 40.53 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ 8.1 ล้านหุ้น และกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย 5.37 ล้านหุ้น ในวันที่ 28-30 มิถุนายน 2566 ราคาหุ้นละ 21 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,134 ล้านบาท โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 6,300 ล้านบาท
สำหรับการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO โดยการประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ด้วยวิธีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (Price to Earnings Ratio : P/E) ซึ่งคิดเป็น 26.58 เท่า เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2566 ที่ 0.79 บาท/หุ้น หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญภายหลังการเสนอขายครั้งนี้ (Fully Diluted) โดยมี บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญร่วม
สำหรับ PHG ดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่ให้บริการทางการแพทย์ทั่วไปและเฉพาะทาง ภายใต้ชื่อ “โรงพยาบาลแพทย์รังสิต” มายาวนานกว่า 37 ปี ถือเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกในจังหวัดปทุมธานี และขยายการให้บริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้จัดตั้งโรงพยาบาลในเครือเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลเฉพาะทางแม่และเด็กแพทย์รังสิต และโรงพยาบาลแพทย์รังสิต 2 โดยมีจำนวนเตียงจดทะเบียนรวม 270 เตียง บุคลากรทางการแพทย์กว่า 1,000 คน เพื่อรองรับลูกค้าทั้งกลุ่มทั่วไป กลุ่มโครงการสวัสดิการภาครัฐ และลูกค้าต่างชาติ ในจังหวัดปทุมธานี กรุงเทพตอนเหนือ และจังหวัดใกล้เคียง โดยมีจุดเด่นที่การให้บริการฉพาะทาง ได้แก่ ศูนย์หัวใจ 24 ชั่วโมง ซึ่งมีศักยภาพในการผ่าตัดหัวใจแบบเปิด (Open Heart Surgery) และสูตินรีเวชกรรมและกุมารเวชกรรมที่สามารถรักษาโรคที่ซับซ้อนได้
ด้าน นายรณชิต แย้มสอาด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PHG เปิดเผยว่าการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุนสำหรับการเติบโตตามกลยุทธ์ที่วางไว้ในการขยายธุรกิจการขับเคลื่อนสังคมด้วยการให้บริการด้านสุขภาพที่ดีขึ้น และสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาว โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาขยายธุรกิจในแนวดิ่งต่อยอดการพัฒนาศักยภาพการให้บริการทางการแพทย์สำหรับโรคผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง และโรคทางนรีเวชกรรม เพื่อยกระดับกลุ่มโรงพยาบาลให้เป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิในอนาคต
โดยปัจจุบัน PHG มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ 1) กลุ่มนามสกุลตระกูลช่าง ถือหุ้น 37.22% 2) กลุ่มนามสกุลแย้มสอาด ถือหุ้น 28.00% และ 3) นางสาวอภิรดี ดิศแพทย์ ถือหุ้น 2.25% ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการ ภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและการจัดสรรเงินสำรองตามกฎหมาย
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมิน PHG แนวโน้มกำไรในปี 2565-2568 (ไม่รวมกำไรเกี่ยวกับโควิด) เติบโตเฉลี่ยปีละ 21% จากการปลดล็อคอุปสงค์คงค้างของผู้ป่วยโรคไม่เร่งด่วน รวมถึงสปส.ปรับอัตราเหมาจ่ายรายปีขึ้น 10.2% ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 2566 และโควต้าเพิ่ม 12.8% ตั้งแต่ปลายปี 2567 อีกทั้งยังมีการขยายความจุ OPD 24%, IPD 33%, ศูนย์ฟอกไต 114% และขยายธุรกิจใหม่เช่น ศูนย์รักษาโรคมะเร็งครบวงจร, ศูนย์เวชกรรมฟื้นฟู และศูนย์รักษาโรคทางนรีเวช
ทั้งนี้ แนวโน้มอุตสาหกรรมเป็นบวก การเปลี่ยนแปลงในทางบวกของภูมิศาสตร์จังหวัดปทุมธานีและบริเวณใกล้เคียง โดยเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่มีประชากรหนาแน่นและเป็นแหล่งงานที่ขยายตัวต่อเนื่อง มีสาธารณูปโภคครบครัน การเดินทางสะดวก และไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ทางด้านประชากรศาสตร์เป็นบวกเช่นเดียวกัน คนไทยอายุยืนยาวขึ้น และเป็นสังคมสูงวัย ทำให้เป็นโรคซับซ้อนและโรคเรื้อรังมากขึ้น การขยายตัวของสังคมเมืองและผู้มีรายได้ปานกลางเพิ่มขึ้น ส่งผลความต้องการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพมากขึ้น ประเมินมูลค่าเหมาะสม 29 บาทต่อหุ้น
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุ PHG คาดรายได้ปกติปี 2565-2567 จะปรับตัวดีขึ้น 9% CAGR หนุนจากผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น โดยประเมินรายได้ในปี 2566-2567 มีรายได้เติบโตปีละ 14% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยไม่รวมรายได้เกี่ยวกับโควิดจากผู้ใช้บริการี่เพิ่มขึ้นจากโรคที่ซับซ้อนทั้งคนไข้เงินสด และคนไข้โครงการภาครัฐ โดยเฉพาะคนไข้โรคหัวใจ ซึ่งทาง PHG มีรายได้หัวใจจากการเข้าร่วมโครงการสปสช. อยู่ที่ 9% ของรายได้รวมปี 2565
ทั้งนี้คาดปี 2566 รายได้หัวใจอยู่ที่ 10% ของรายได้รวมปี 2566 และในปี 2567 อยู่ที่ 12% ประเมินมลูค่าเหมาะสมปี 2567 อยู่ที่ 30 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุ PHG คาดว่ารายได้ในปี 2565-2568 จะเติบโตเฉลี่ย 7% (CAGR) ขณะที่กำไรสุทธิคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 6% (CAGR) ซึ่งบริษัทมีปัจจัยหนุนการเติบโตหลักมาจากการสร้างอาคารผู้ป่วยและอาคารจอดรถใหม่ ซึ่งจะทำให้รองรับผู้ป่วยได้มากขึ้นจากจำนวนเตียงที่เพิ่มขึ้นจะสามารถขยายกำลังการรองรับผู้ป่วยประกันสังคมได้ต่อ ทั้งนี้ ประเมินราคาเป้าหมายอยู่ที่ 28 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด ระบุ PHG คาดว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2567 จะมีการฟื้นตัวขึ้นตามแนวโน้มการใช้บริการการรักษาที่ยังคงมีทิศทางเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ คาดการณ์ PHG จะทำรายได้ที่ระดับ 2,218 ล้านบาท และทำกำไรสุทธิที่ระดับ 304 ล้านบาท เติบโต 12.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยประเมินราคาเป้าหมายอยู่ที่ 30 บาท