“เศรษฐา” ย้ำเลือกนายกได้เร็ว “ความหวังไทย” โอกาสแข่งขันสูง

นายเศรษฐา ทวีสิน ยันประเทศไทยมีศักยภาพและโอกาสอีกเยอะต่อการแข่งขัน แต่ต้องรีบเลือกนายกรัฐมนตรีให้ได้เพราะนักลงทุนรอฟังนโยบายที่ชัดเจน อีกทั้งอาจจัดสรรงบประมาณปี 2567 ล่าช้าออกไป ขณะที่นักลงทุนยังคงให้ความสนใจ แต่ยังอยู่ในช่วง Wait and see ที่ต้องกอดเงินสดไว้


นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย กล่าวในงานสัมมนา “Battle Strategy แผนฝ่าวิกฤติ พิชิตสงคราม EPISODE V : วิกฤติมาทุกทิศ โอกาสมีทุกทาง” ว่ากรณีวิกฤตเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบตอนนี้ เช่น กำลังซื้อหด แต่ไม่ยิ่งใหญ่มาก ไม่เหมือนกับ 3 ปี ที่มีปัญหาเรื่องโควิด หรือตอนเกิดต้มยำกุ้ง ซึ่งมองว่าคงต่อสู้กันไปได้ แต่วิกฤตการเมืองของประเทศไทยตอนนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ หากมีความยืดเยื้อจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ

ส่วนผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ชัดเจนว่าพรรคการเมืองในฝั่งประชาธิปไตยเป็นฝ่ายชนะ แต่การจัดตั้งรัฐบาลยังมีความไม่แน่นอน การเลือกนายกรัฐมนตรียังตกลงกันไม่ได้ ถ้าจัดตั้งรัฐบาลได้ช้า การจัดสรรงบประมาณปี 2567 จะล่าช้าออกไปอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ แนวทางการทำงานร่วมกับคณะกรรมการของพรรคก้าวไกล ถ้าสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ภายในสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม งบประมาณปี 2567 จะถูกใช้ได้อย่างเร็วที่สุดคือ 15 มีนาคมในปีหน้า ซึ่งงบประมาณแผ่นดินเบื้องต้นจะถูกจัดสรรในเดือนตุลาคม ถ้าล่าช้าออกไปอาจจะเป็นปัญหาใหญ่

ดังนั้นวันนี้ต้องมีตัวช่วย ต้องมีปากมีเสียง ต้องมีการสนับสนุนให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีให้ได้ภายในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ด้านธุรกิจทราบกันดีว่ามีปัญหาเยอะ หนี้ครัวเรือนสูงถึง 90% ต่อจีดีพี การส่งออกตกต่ำมาโดยตลอด หลายๆ เรื่องเป็นเรื่องที่ไทยก็มีความเสี่ยง

อย่างไรก็ตามอยากให้มองว่าในวิกฤตมีโอกาส ไทยมีอะไรดีหลายอย่าง การท่องเที่ยว ความมั่นคงทางอาหาร แต่ยังมีปัญหาเรื่องนักท่องเที่ยวจีนที่จะเข้าประเทศไทยที่มีดีมานด์เข้ามามาก ซึ่งปัจจุบันยังมีเรื่องนโยบายการขอวีซ่าที่ใช้เวลาดำเนินการหลายวัน หลายเรื่องยังต้องแก้ไข

เนื่องด้วยการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ นักลงทุนต่างประเทศหลายรายอยากเข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่ชะลอการลงทุน เพราะต้องการฟังนโยบายที่ชัดเจนจากนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนด้านอีวี ถือว่าเป็นธุรกิจสำคัญที่จะนำพาประเทศเจริญก้าวหน้าไปได้ ถ้าไทยช้าจะยิ่งเป็นรองอินโดนีเซีย และเวียดนาม

ขณะนี้อินโดนีเซียเดินสายคุยกับต่างประเทศเยอะมาก เพราะตอนนี้ถือเป็นช่วงสุญญากาศของประเทศไทย ที่เราไม่มีผู้นำไปคุยกับต่างประเทศ

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า นักลงทุนอยากให้มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่ให้ถูกต้อง ส่วนเรื่องเสถียรภาพหากดูจากการรวมเสียงแล้ว เบื้องต้นยังไม่มีเรื่องน่ากังวลมาก อีกทั้งเป็นฝ่ายประชาธิปไตยเหมือนกันสามารถทำงานร่วมกันได้ และหลังจากได้พูดคุยกันก็สามารถทำความเข้าใจร่วมกันได้ดี ทั้ง 2 พรรคมุ่งมั่นที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาต่อไปได้

ขณะที่นักลงทุนยังคงให้ความสนใจ แต่ยังอยู่ในช่วง Wait and see ที่ต้องกอดเงินสดไว้ เป็นแนวทางสิ่งที่หลายๆ บริษัททำอยู่ที่ต้องรักษากระแสเงินสดไว้ให้ดี เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต

นายเศรษฐา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตอนนี้สำคัญที่สุดคือต้องมีรัฐบาลใหม่ ทุกอย่างเป็นเรื่องของการเมือง แต่ว่าอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ที่ต้องพึ่งพาจากการดึงนักลงทุนต่างประเทศเข้าไทย นักลงทุนยังคอยและอยากจะลงทุนในไทย ขณะเดียวกัน เรื่องหนี้ครัวเรือนเป็นสิ่งสำคัญอย่างไรก็ตาม เรื่องหนี้ครัวเรือน เรื่องของการเข้าถึงสินเชื่อได้จากแหล่งเงินกู้ที่มีคุณภาพ เพราะถึงแม้หนี้ครัวเรือนสูง 90% แต่มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ยังกู้เงินนอกระบบ

สำหรับการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ และเรื่องรักษากระแสเงินสด การบริหารจัดการธุรกิจให้ดี เรื่องการบริหารต้นทุนธุรกิจ เรื่องความเข้าใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม และต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะตอนนี้เป็นเรื่องการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ดังนั้น การเปิดตลาดการค้าใหม่จะต้องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเชื่อว่านักธุรกิจหลายคนกำลังติดตามอยู่

โดยหลากย้อนกลับไปดูตอนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ธุรกิจสามารถปรับตัวและพ้นวิกฤต ภาคเอกชนมีวัคซีนและมีภูมิคุ้มกัน ภาคเอกชนสามารถผ่านมาได้ และเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย เพราะฉะนั้นในเรื่องของ Wait and see อีกไม่นาน และมองว่าไม่เกิน 1-2 เดือน ให้จบปัญหาเรื่องการเมืองและมีรัฐบาลใหม่สำเร็จ ขณะเดียวกันไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปในแง่ของก้าวต่อไปของเศรษฐกิจไทย เพราะยังติดล็อกเรื่องการเมืองอยู่

สำหรับไทยเป็นเมืองที่น่าลงทุน หลายเรื่องที่ไม่ได้มองถึง เช่น โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาลดีๆ ที่มีอยู่ โดยจะดึงนักลงทุนเข้ามาจากความสามารถและศักยภาพของไทย ทรัพยากรของไทยอย่างโครงสร้างพื้นฐานในหลายด้านของไทยเป็นต่อมากกว่าอีก 2 ประเทศที่ได้กล่าวขึ้นมาช่วงต้น อีกทั้งเรื่อง Skill ของคนไทย เป็นเรื่องที่ไทยยังมีความสามารถแข่งขันได้ เชื่อว่าไทยเป็นต่อ ดังนั้น เรื่องการบริหารจัดการระยะถัดไปต้องเป็นระบบมากขึ้น

นอกจากนี้ มองว่าระยะเวลาช่วงรอการจัดตั้งรัฐบาลคงใช้เวลา 2-3 เดือน ถ้าได้รัฐบาลใหม่แล้ว คาดว่าช่วงเดือนธันวาคมนี้ คงจะสามารถจัดสรรงบประมาณปี 2567 ได้ มีการกำหนดการลงทุนของรัฐบาลอย่างชัดเจน อย่าลืมว่าตลาดหุ้นรับรู้ไวมาก ถ้าจัดตั้งรัฐบาลได้ดี ทุกอย่างราบรื่น เรื่องการลงทุนก็ไม่เกิดผลกระทบเช่นกันเพราะเป็นการส่งสัญญาณจากนักลงทุนที่ไวที่สุด จึงอยากให้จัดตั้งรัฐบาลตามกรอบเวลา

ขณะเดียวกัน จากการลงพื้นที่ในเรื่องของภัยแล้งเป็นเรื่องสำคัญ แม้ภาคเกษตรคิดเป็น 10% ของจีดีพี แต่ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยรวม เพราะเริ่มตั้งแต่กลุ่มฐานราก ยิ่งในช่วง 3-4 เดือนนี้ก็ต้องมีการประชุมเพื่อจะเก็บกักน้ำกันอย่างไร ซึ่งก็น่าเป็นห่วง

“เชื่อว่าประเทศไทยยังมีศักยภาพและโอกาสอีกเยอะ” นายเศรษฐา กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวทิ้งท้าย ต้องการให้เลือกนายกรัฐมนตรีให้เสร็จตั้งแต่วันแรก แต่ถ้าไม่จบสิ้นและต้องเลือกถึงวันที่ 2 ก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอน และถ้าจะต้องยืดไปวันที่ 3 ไม่สามารถคาดเดาสถานการณ์จะขึ้นได้อย่างไร แต่ก็เอาใจช่วย ในฐานะที่เป็นพรรคเพื่อไทย และที่ทำงานใกล้ชิดกับพรรคร่วมรัฐบาล จะสนับสนุนให้คุณพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย

Back to top button